
จับตาเกม ‘ทรัมป์’..รับมือศาลฎีกา.!?
จากศาลฎีกาสหรัฐฯ ทำการไต่สวนกรณีคดี “มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากร” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่.?
จากศาลฎีกาสหรัฐฯ ทำการไต่สวนกรณีคดี “มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากร” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่.? หลังจากศาลอุทธรณ์ มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ กรณีใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977 เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา
มองมิติทางกฎหมายการพิจารณาคดีดังกล่าวมีความซับซ้อน หนึ่งในประเด็นสำคัญนั่นคือการตีความปริมาณของสินค้าหรือภาระภาษีที่เกี่ยวข้องเกินเกณฑ์ ที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ รวมถึงการพิสูจน์ว่ามีการนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศจริงเป็นรายละเอียดที่อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบเพิ่มเติม
ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าจะพิจารณาการใช้แผนสำรอง หากศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่รัฐบาลประกาศใช้เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”..!!
“เราคิดว่าเราทำได้ดีมากแล้วเมื่อวานนี้..แต่ผมคิดว่าเราจะต้องพัฒนาแผน “เกมที่สอง” เราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
บรรดานักวิเคราะห์ มีการประเมินแบบจำลองไว้ 3 กรณี กรณีที่ 1 ศาลตัดสิน “ไม่ให้สิทธิทรัมป์” ในการจัดเก็บภาษี ถือเป็นผลลัพธ์เชิงบวกต่อตลาดทั่วโลก นั่นหมายความว่า “ทรัมป์” ไม่สามารถใช้ดุลยพินิจจัดเก็บภาษีศุลกากรได้โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แผนราษฎร
ส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มปรับขึ้นทันที เพราะความเสี่ยงจากสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีลดลง หุ้นกลุ่มนำเข้าจะได้รับปัจจัยบวกโดยตรง เนื่องจากเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงทุนที แต่เชื่อว่า “ทรัมป์” อาจหามาตรการรูปแบบใหม่มาอย่างแน่นอน
กรณีที่ 2 ศาลตัดสินว่า “การกระทำของทรัมป์ อยู่ในอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย” ตลาดอาจเกิดภาวะช็อกระยะสั้น เนื่องจากอำนาจการขึ้นภาษีจะอยู่ในมือของทรัมป์โดยสมบูรณ์ ส่งผลให้ดัชนีอาจปรับตัวลดลงชั่วคราว จากความกังวลต่อความตึงเครียดทางการค้า แต่จะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากตลาดเริ่มชินกับพฤติกรรมทรัมป์
การณ์ที่ 3 ศาลตัดสิน “ให้สิทธิแบบมีเงื่อนไข” หรือเปิดโอกาสให้ทรัมป์สามารถปรับขึ้นภาษีได้ แต่ต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาคองเกรสก่อน ตลาดไม่น่าตกใจเนื่องจากการดำเนินนโยบายต้องผ่านขั้นตอนทางการเมืองแต่โอกาสที่นโยบายจะถูกปฏิเสธมีสูง เพราะสมาชิกสภาจำนวนมากมองว่า “ภาษีทรัมป์” จะกระทบต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในประเทศ
สำหรับคดีในศาลฎีกาครั้งนี้ ครอบคลุมเพียงบางส่วนของภาษีที่ทรัมป์ เรียกเก็บปีนี้เท่านั้น ขณะนี้รัฐบาลทรัมป์ ได้มีการใช้อำนาจตามกฎหมายอื่น ๆ เพื่อเก็บภาษีเพิ่มเติมอยู่แล้ว เช่น ภาษีตามมาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้าปี 1962 เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ อาทิ รถยนต์ ทองแดง เซมิคอนดักเตอร์ ยา หุ่นยนต์ และอากาศยาน รวมถึงภาษีตามมาตรา 301 ของกฎหมายการค้าปี 1974