
ลุ้น TISA หนุนหุ้นไทย
วานนี้ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย 1,239 พันล้านบาท แต่หากนับจากต้นปี 2568 มาจนถึงวานนี้ (1 ธ.ค.) นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วกว่า 111,873 ล้านบาท
วานนี้ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย 1,239 พันล้านบาท
แต่หากนับจากต้นปี 2568 มาจนถึงวานนี้ (1 ธ.ค.) นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วกว่า 111,873 ล้านบาท
อย่างที่เรารับทราบกันดีว่า หากดัชนีหุ้นไทย จะวิ่งขึ้นมาได้ ต้องอาศัยแรงซื้อของต่างชาตินั่นแหละ และการที่ต่างชาติจะซื้อ มันต้องมีปัจจัยเข้ามาช่วยหนุน
ขณะที่มีการประเมินว่า จนถึงสิ้นปีนี้ ต่างชาติน่าจะขายสุทธิแน่นอน ไม่น่าจะพลิกกลับมาเป็นซื้อได้
เพียงแต่ว่า ต้องมาดูกันในเดือนธ.ค.นี้ว่าพวกเขาจะซื้อหรือขายเพิ่ม
มีการวิเคราะห์กันว่า หากต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย มันจะต้องมีปัจจัยเข้ามาสนับสนุน
เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง การเมืองไทยเริ่มมีเสถียรภาพ ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น ฯลฯ
แต่เท่าที่ดูตอนนี้ ในด้านของปัจจัยต่างประเทศค่อนข้างจะเอื้ออยู่ โดยเฉพาะในเรื่องของเฟด
ส่วนปัจจัยภายในยังควานหาไม่ค่อยเจอทั้งเรื่องของการเมือง และภาพรวมของเศรษฐกิจที่ยังคงถกเถียงกันว่า จีดีพีปี 68 จะสูงหรือต่ำกว่า 2%
สถานการณ์เช่นนี้ หากเราสมมติตัวเองเป็นนักลงทุนต่างชาติ ก็คงยังไม่ตัดสินใจลงทุนหุ้นไทยอย่างจริงจัง
และเราไม่ควรที่จะหลอกตัวเองตรงนี้
ส่วนนักลงทุนสถาบัน หรือบรรดากองทุนต่าง ๆ จากต้นปีมาถึงปัจจุบัน นี่ก็ขายสุทธิแล้ว 28,288 ล้านบาท
แต่มีการมองกันว่า อาจจะยังพอมีความหวังจากเม็ดเงินของกองทุน TESG ที่จะเข้ามาในเดือนธ.ค.นี้ อาจจะมีหลักหมื่นล้านบาทให้เห็น แต่จะเข้ามาช่วยหนุนหุ้นไทย หรือว่าจะเข้ามา “รับของ” จากต่างชาติ ต้องมาดูกันอีกครั้ง
ประเด็นที่น่าสนใจของบรรดากองทุน จะพบว่า นอกเหนือจากเม็ดเงินจากกองทุนลดหย่อนภาษีต่าง ๆ แล้ว
เรายังไม่เห็นเม็ดเงินใหม่จากกองทุนต่าง ๆ ที่จะเข้ามายังตลาดหุ้นไทย เพราะจะพบว่า ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แทบจะไม่มีแห่งไหนออกกองทุนหุ้นไทย
ส่วนใหญ่เป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่จะออกมากันค่อนข้างมาก
ภาวการณ์แบบนี้ ทั้งต่างชาติขาย และกองทุนไทยเองก็ขาย จึงยังแอบสงสัยอยู่ว่า แล้วเม็ดเงินจะมาจากตรงไหนที่จะเข้ามาช่วยดันดัชนีให้ปิดสิ้นปีที่ระดับ 1,300 จุดอย่างที่โบรกเกอร์หลายสำนักประมาณการไว้
แม้จะมีการบอกว่า ระดับ พี/อี เรโช หุ้นไทยน่าสนใจ, PBV อยู่ระดับต่ำ
ซึ่งล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยถึงผลประกอบการของ บริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/2568 และงวด 9 เดือนแรกปี 2568 ที่มีกำไรสุทธิ 8.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.49 เท่า ลดลงจาก 1.56 เท่า ณ ช่วงเดียวกันในปีก่อน
ตัวเลขสำคัญทางการเงินเหล่านี้ ยังคงไม่น่าสนใจในระดับเพียงพอต่อการสร้างความน่าสนใจได้
นอกจากนักลงทุนต่างชาติขาย, กองทุนขายแล้ว
ในส่วนของนักลงทุนรายย่อย จะพบว่า เริ่มปรับพอร์ตหันไปเทรดหุ้นต่างประเทศกันมากขึ้น มีทั้งเทรดโดยตรงและการเล่นในส่วนของ DR ที่แต่ละโบรกเกอร์กำลังแข่งขันออกกันอย่างหนัก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน
และไม่ใช่มีแค่รายย่อยเท่านั้น
นักลงทุนรายใหญ่ ได้เริ่มปรับพอร์ตหันไปลงทุนต่างประเทศด้วยเช่นกัน
พิจารณาดูแล้ว เหมือนกับว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังค่อย ๆ ถูกโดนทิ้งไปเรื่อย ๆ
ล่าสุด ทางสภาธุรกิจตลาดทุน และกระทรวงการคลัง ก็พยายามที่จะดึงความเชื่อมั่น สร้างความคึกคักให้ตลาดหุ้นไทยกลับมา โดยสัปดาห์หน้าเห็นว่าจะมีการชงเรื่อง TISA หรือ Thailand Individual Savings Account) เข้าครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติ
สำหรับ TISA เป็นบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนในหุ้น ที่เปิดให้นักลงทุนที่ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สิทธิลดหย่อนภาษี โดย TISA เป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น คล้ายกับมาตรการของญี่ปุ่น NISA (Nippon Individual Savings Account) ที่ปัจจุบันกำหนดให้เป็นสิทธิลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลประจำปีแบบถาวร
คงต้องมาลุ้นกันว่า หาก TISA มาจริง ๆ จะช่วยหนุนหุ้นไทยได้มากน้อยแค่ไหน
เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะลงทุน สั้น หรือยาว ก็ต้องกลับมามองที่ “พื้นฐาน” ของตลาดหุ้นเป็นหลักอยู่ดี