พาราสาวะถี

ไม่ใช่เพราะเพื่อไทยออกอาการยึกยักเรื่องซักฟอก จึงทำให้ อนุทิน ชาญวีรกูล กลับไป ยืนยันไทม์ไลน์ยุบสภาเดิมที่ 31 มกราคม 2569 ไม่ใช่ 12 ธันวาคมนี้


ไม่ใช่เพราะเพื่อไทยออกอาการยึกยักเรื่องซักฟอก จึงทำให้ อนุทิน ชาญวีรกูล กลับไป ยืนยันไทม์ไลน์ยุบสภาเดิมที่ 31 มกราคม 2569 ไม่ใช่ 12 ธันวาคมนี้ ตามที่ได้ขู่ไปก่อนหน้า แต่เป็นเพราะ สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ที่ส่งผลหนักหน่วงต่อคะแนนนิยมชนิดรูดมหาราช เลยก็ว่าได้ เอาแค่สงขลาจังหวัดเดียวที่ตั้งความหวังว่าจะสามารถกวาด สส.ให้เดินครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 9 เขต มาถึงนาทีนี้ตาลปัตรไม่รู้หมู่หรือจ่า บ้านใหญ่และพวกฐานเสียงแข็งแรงที่ดูดเข้าพรรคภูมิใจไทย จากที่การันตีนอนมา ทำท่าว่าจะต้องไปลุ้นกันเหนื่อยในทุกเขต

มีประเด็นคู่ขนานกันมากับคำถามที่นักข่าวชงให้เสี่ยหนูตอบ เรื่องผลโพลล่าสุดในพื้นที่ภาคใต้ ที่เจ้าตัวมาเป็นอันดับ 3 ก็รีบตีกรรเชียงกลบเกลื่อนทันที การได้เสียงหนุนถึง 15% จากที่เคยอยู่ที่ 0.2% แค่นี้ก็ยกมือท่วมหัวแล้ว เช่นเดียวกับคะแนนของพรรคสีน้ำเงินที่หล่นมาเหลือ 11% ก็อ้างว่า แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว เพราะพรรคเคยได้แค่ 0.21% กลายเป็นพวกองุ่นเปรี้ยว ไปเสียฉิบ ทั้งที่ก่อนจะเกิดเหตุน้ำท่วม ลองไปถามคนของพรรคดูได้ เสียงสนับสนุนของพี่น้องชาวใต้ดีวันดีคืน จนถึงขั้นที่แกนนำพรรคอยากจะยุบสภาวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำไป

นี่คือสไตล์ของนักการเมืองแบบปลาไหล ถ้าจับไม่ได้เล่นไม่ทันก็ จะหาแง่มุมพูดทำให้เหมือนตัวเองดูดี ขณะที่ความเป็นจริงกำลังย่ำแย่ ไม่ใช่เรื่องแปลกต่อการที่ต้องลากยาวยุบสภาไปจนวันสุดท้ายที่ได้ประกาศไว้ ด้วยเหตุต้องช่วยกันเข็นสารพัดมาตรการเยียวยาให้เป็นที่พอใจของพี่น้องชาวใต้ผู้ประสบภัยให้มากที่สุด จนเชื่อมั่นได้ว่า เมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้วต้องอยู่ในฐานะได้เปรียบคู่แข่ง เวลานี้ไม่ใช่เฉพาะแกนนำของพรรคสีน้ำเงินเท่านั้นที่หาทางแก้เกมกันอุตลุด กองหนุนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ช่วยหาช่องในการจะพลิกฟื้นคะแนนนิยมให้กลับมาเหมือนช่วงรับตำแหน่งแรก ๆ เช่นเดียวกัน

อุตส่าห์เล่นแร่แปรธาตุจนอำนาจที่เคยหลุดมือไปหลังเลือกตั้ง กลับมาอยู่ในการควบคุมของขบวนการอยู่ยาวที่วางกลไกกันไว้ดิบดี และมองไปถึงการจัดวางอำนาจหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าไปแล้ว จู่ ๆ จะมาปล่อยให้สถานการณ์น้ำท่วมพัดพาเอาความหวังอันบรรเจิดเหล่านั้นลอยหายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ท่านผู้นำยังยิ้มได้ และมั่นอกมั่นใจต่อกระบวนการที่ได้ดำเนินการอยู่ในเวลานี้ แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า เหล่าบุคคลที่พรรคสีน้ำเงินวางตัวเพื่อให้สื่อสาร สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับรัฐบาล จะถูกลดบทบาทไปในช่วงนี้

ยิ่งบรรดารัฐมนตรีคนนอกที่ไม่ได้มีความเขี้ยวทางการเมือง หากปล่อยให้มานั่งตอบคำถามที่ถูกจี้จุดความบกพร่องผิดพลาด เกรงว่ายิ่งจะทำลายความนิยมลงไปอีก ขนาด ภราดร ปริศนานันทกุล คนที่ได้ชื่อว่ามีชั่วโมงบินทางการเมืองมาพอสมควรแล้ว พอมีหัวโขนรัฐมนตรี และได้รับมอบหมายให้มานั่งแถลงเรื่องสถานการณ์น้ำท่วม พอถูกจี้ใจดำเรื่องบริหารจัดการน้ำล้มเหลวจนทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ ถึงกับชักสีหน้า ปิดไมค์หนีการตอบคำถามไปทันที

เดือดร้อนถึงคนเป็นพ่ออย่าง สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ต้องมาโพสต์ให้กำลังใจลูกชายผ่านโซเซียลมีเดีย แต่ก็ไม่วายโทษ สื่อบางราย และสังคมบางส่วนที่ไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ โดยลืมมองไปว่าสิ่งที่ลูกชายถูกถามนั้นมันเป็นข้อเท็จจริง หรือการใช้อารมณ์ไล่บี้เพื่อให้เกิดความสะใจ การออกอาการแบบนี้ คงเป็นเพราะ คนเหล่านั้นต่างได้รับการเป่ากระหม่อมมา และถูกทำให้เชื่อว่าจะไม่มีอะไรมาทำให้ระคายเคืองผิวได้ จึงกล้าที่จะแสดงออกเหมือนคนไร้วุฒิภาวะ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เหมือนพวกเด็กเอาแต่ใจเพราะถูกพ่อแม่เอาอกเอาใจแบบไม่ลืมหูลืมตา นั่นเอง

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายกับการขออยู่ให้ครบ 4 เดือนของอนุทิน เพราะ หวังว่าเวลาที่เหลือจะสามารถพลิกเกมกลับมาสร้างความเชื่อมั่น และเรียกคะแนนนิยมกลับคืนมาได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะคนในพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น ที่ไม่พอใจต่อการบริหารจัดการของรัฐบาลครั้งนี้ พื้นที่อื่น ๆ ก็ย่อมจะมองเห็นเหมือนกันสมควรที่จะไว้วางใจให้พรรคนี้เป็นแกนนำรัฐบาลหลังเลือกตั้งอีกหรือไม่ เห็นศักยภาพกันแล้ว ไหวหรือไม่ สุดท้ายคงหนีไม่พ้นบรรดาตัวช่วยปีกอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย ต้องออกแรงกันหนักหน่วง ใช้สารพัดวิธีเพื่ออุ้มสมให้เดินทางไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ให้ได้

การเสียรังวัดทางการเมืองครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนเท่านั้น หากแต่บรรดาข้าราชการ โดยเฉพาะทางฟากเหล่าทัพก็คงต้องมีการประเมินท่าที จากที่เคยสนับสนุนกันอย่างเต็มกำลัง ตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามารับตำแหน่งผู้นำประเทศ แต่พอเกิดสถานการณ์น้ำท่วมแทนที่จะไว้วางใจ และให้เครดิตกับทุกเหล่าทัพในการระดมสรรพกำลังไปช่วยประชาชน กลับมีการด้อยค่าเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความไม่เอาไหนจากการบริหารของรัฐบาล ไปเสียอย่างนั้น

เรียกได้ว่าพอเป็นงานด้านความมั่นคงกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา พากันยกย่อง เชิดชู และให้อำนาจกองทัพในการจัดการปัญหาเต็มที่ เพราะทุกท่วงทำนองที่แสดงออกยิ่งเป็นการตอบโต้ หรือกดดันเขมรได้ ภาพลักษณ์ ความนิยมทั้งหมดก็จะวกกลับไปที่ฝ่ายกุมอำนาจ และ ถือเป็นผลงานที่เตรียมจะนำไปเคลมเป็นผลงานในการหาเสียงเลือกตั้ง นาทีนี้จึงมีข่าวว่า นอกจากต้องเร่งมาตรการเยียวยาเพื่อกู้คะแนนนิยมจากคนใต้แล้ว ยังต้องมีการเคลียร์ใจและซื้อใจกันอีกชุดใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดความกินแหนงแคลงใจจนกระทบต่อความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อกัน

อรชุน

Back to top button