ของจริง! 3 หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค

พูดถึงหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค บอกได้เลยว่า ทุกวันนี้ยังมีความเงียบเหงา โดยเฉพาะราคาหุ้นของแต่ละตัว ที่วอลุ่มเทรดส่วนใหญ่มักค่อนข้างเบาบาง มีเพียงบางตัว ที่นักลงทุนเข้ามาไล่ซื้อหุ้นเป็นระยะๆ อาจเกิดจากมีประเด่นข่าวเข้ามาซัพพอร์ทบ่อยครั้ง ประกอบกับผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2559 ออกมาแข็งแกร่งจากงวดเดียวกันของปีก่อนอีกด้วย สำหรับบริษัทดังกล่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจ” คัดเลือกมาได้ 3 บริษัท


–เส้นทางนักลงทุน–

 

พูดถึงหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค บอกได้เลยว่า ทุกวันนี้ยังมีความเงียบเหงา โดยเฉพาะราคาหุ้นของแต่ละตัว ที่วอลุ่มเทรดส่วนใหญ่มักค่อนข้างเบาบาง มีเพียงบางตัว ที่นักลงทุนเข้ามาไล่ซื้อหุ้นเป็นระยะๆ อาจเกิดจากมีประเด่นข่าวเข้ามาซัพพอร์ทบ่อยครั้ง ประกอบกับผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2559 ออกมาแข็งแกร่งจากงวดเดียวกันของปีก่อนอีกด้วย สำหรับบริษัทดังกล่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจ” คัดเลือกมาได้ 3 บริษัท

อาทิ บริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJD รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 79.04 ล้านบาท หรือ 0.02 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 669.01% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.28 ล้านบาท หรือ 0.003 บาทต่อหุ้น อานิสงส์ตู้เติมเงินออนไลน์ “ตู้เติมสบาย” ยอดขายทะลัก ขณะที่ยอดขาย Set Top Box – กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้ายังโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสามารถบริหารจัดการด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ต้นทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2559 ผู้บริหารคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะรายได้จากการขายตู้เติมเงินออนไลน์ “เติมสบาย พระเอกตัวจริง” ซึ่งบริษัทฯได้ตั้งเป้ายอดขายตู้เติมเงินในปีนี้ไว้ที่ 50,000 เครื่อง ซึ่งปัจจุบันมียอดขายกว่า 10,000 เครื่องแล้ว โดยบริษัทฯจะรุกทำการตลาดและสร้างการรับรู้แบรนด์ให้มากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้เติบโต 10-15% จากปีก่อน

อีกทั้งการเป็นตัวแทนผู้ให้บริการสมัครสมาชิกของ Alibaba ในไทยนั้น บริษัทฯตั้งเป้ายอดสมาชิกทำการซื้อขายผ่านเว็บไซต์อาลีบาบา ในปีนี้อยู่ที่ 5,000 ราย หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 250 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาความร่วมมือกับ 2 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่มีลูกค้าเอสเอ็มอีรวมกันกว่า 2 ล้านราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งบริษัทฯจะรับรู้รายได้เป็นลักษณะค่าคอมมิชชั่น โดยมีอัตราอยู่ที่ 30-40% ของยอดบอกรับสมาชิก มีราคาการสมัครสมาชิกอยู่ที่ 46,000 – 200,000 บาทต่อรายต่อปี

 

ต่อมา บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 75.30 ล้านบาท หรือ 0.16 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 73.23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 43.47 ล้านบาท หรือ 0.09 บาทต่อหุ้น เป็นผลมาจากการขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมี่ยมมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ประกอบกับการวางระบบบริหารจัดการ และการควบคุมภายในที่ดีขึ้น สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีการเพิ่มกลยุทธ์ในการวางแผนสื่อโฆษณาเพื่อส่งเสริมการตลาดและการขาย อีกด้วย

ขณะที่ปัจจุบัน TOG มีสัดส่วนตลาดต่างประเทศอยู่ 95% และในประเทศะ 5% โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา และเอเชียแปซิฟิค สำหรับการขยายตลาดเออีซี นั้น บริษัทฯ ได้ขายสินค้าผ่านบริษัทร่วมทุน 3 ประเทศ โดย TOG เข้าถือหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 33% คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม พร้อมทั้งกำลังศึกษา และเจรจาพันธมิตรเพิ่มเติมใน ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และ เมียนมาร์

เพื่อขยายกำลังซื้อในตลาดเออีซี โดยสินค้าหลัก คือเลนส์สายตาเฉพาะบุคคล ซึ่งจะเป็นไลน์การผลิตหลักสำหรับโรงงานแห่งใหม่ ที่มีกำลังการผลิต กว่า 1 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจะเดินเครื่องผลิตได้ในไตรมาส 4 ปี 2559 ทั้งนี้ปัจจุบัน TOG มียอดการผลิตเลนส์รวม 27 ล้านชิ้นต่อปี และคาดว่าปี 2560 กำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 30 ล้านชิ้นต่อไป หลังจากสามารถเดินเครื่องการผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจจากนี้ไป ผู้บริหาร ยังคงเดินตามแผนงานที่วางไว้ โดยเฉพาะแผนการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเลนส์เฉพาะบุคคลหรือเลนส์สั่งฝนพิเศษ (Prescription Lens หรือ Rx Lens) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่ดี จำนวน 300-350ล้านบาท และงบลงทุนปกติ 150 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ ที่มีอัตราเติบโตต่อเนื่องกว่า 10% ทุกปี พร้อมพัฒนานวัตกรรมในการผลิตเลนส์สายตาให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือการพัฒนาเลนส์ชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง

 

สำหรับ บริษัท เธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 31.94 ล้านบาท หรือ 0.072 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 29.65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24.64 ล้านบาท หรือ 0.056 บาทต่อหุ้น เนื่องจากการที่บริษัทสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2 ปี 59 คาดเติบโต 20% จากงวดเดียวกันปีก่อนหรือดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามแผนงานปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมที่ 2,000 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อน ซึ่งยอดขายเครื่องกรองน้ำของ TSR ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากการเปิดสาขาเพิ่มมากขึ้นซึ่งปัจจุบันมี 17 สาขา และมีศูนย์บริการ 5 แห่ง

ที่สำคัญ ผู้บริหาร กล่าวว่า บริษัทวางแผน 5 ปีจากนี้ (2560-2564) จะมีรายได้รวม 5,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 59 คาดทำได้ 2,000 ล้านบาท พร้อมตั้งงบลงทุน 5 ปี ที่ 250 ล้านบาท โดยใช้ปีละ 50 ล้านบาท สำหรับขยายสาขาใหม่เพื่อให้มีครบ 40 สาขาในสิ้นปี 64 จากสิ้นปีนี้น่าจะมากกว่า 20 สาขา โดยปีนี้จะเปิดใหม่ 5-7 สาขา และตั้งเป้าหมายมีช่องทางการขายผ่านโทรศัพท์ (พนักงานเทเลเซลล์) เพิ่มเป็น 300 ที่นั่ง จาก 150 ที่นั่งสิ้นปีนี้

ส่วนธุรกิจใหม่คณะกรรมการบริษัทเพิ่งอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อเข้าดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และนาโนไฟแนนซ์ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมจดทะเบียนบริษัทและยื่นขออนุญาตกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดใช้เวลา 3 เดือน และคาดว่าจะเห็นการปล่อยสินเชื่อในไตรมาส 4 ปี 59 นี้ ด้วยทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 50 ล้านบาท TSR ถือหุ้นราว 99.99% ซึ่งจะใช้ฐานลูกค้าเดิมของบริษัทที่ทางเทเลเซลล์ติดต่อมีอยู่ 4 แสนราย ซึ่งก็เห็นโอกาสของธุรกิจนี้เพราะมีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้ว และเป็นธุรกิจที่รัฐบาลสนับสนุน

สำหรับแผนการขยายตลาดไปประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) คณะกรรมการได้อนุมัติให้จัดตั้งบริษัทร่วมลงทุนในสปป.ลาว เพื่อตั้งบริษัท TSR ลาวจำหน่ายเครื่องกรองน้ำ รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ทุนจดทะเบียน 17 ล้านบาท โดย TSR ถือหุ้น 49% ร่วมกับกลุ่มนักลงทุนไทยที่ไปทำธุรกิจในลาวอีก 51% โดยตั้งเป้าปีแรกขายเครื่องกรองน้ำได้ 3,000 เครื่อง หรือเดือนละ 300 เครื่อง ส่วนการเข้าลงทุนในเวียดนามอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเป็นลักษณะการเข้าร่วมทุน หรือตั้งตัวแทนจำหน่าย ทั้งในผลิตภัณฑ์เครื่องกรองน้ำยี่ห้อเซฟและเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากขายตรงเครื่องกรองน้ำ 80% อีก 20% เป็นช่องทางอื่น เช่น เทเลเซลล์ และเทรดดิ้ง ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงาน 5 แห่ง รวมแห่งใหม่ด้วยกำลังการผลิตรวม 4 หมื่นชุดต่อเดือน ปัจจุบันเดินเครื่องผลิตอยู่ที่ 3 หมื่นชุดต่อเดือน ซึ่งกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นรองรับยอดขายต่างจังหวัดที่ขายดีมากและยอดขาย AEC

 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของหุ้นกลุ่ม สินค้าอุปโภคบริโภคน่าเก็บ ที่สามารถโชว์กำไรสุทธิได้ยอดเยี่ยม พร้อมมีข้อมูลธุรกิจของบริษัทว่าอนาคตจะโตไปได้ขนาดไหน 

Back to top button