เปิด 3 หุ้นตั้งรับสุดเหนียวไม่หวั่นต่อทุกสถานการณ์

รวมสุดยอด 3 หุ้นทีเด็ด เหมาะลงทุนในช่วงตลาดขาลง รอบนี้เป็นคิวของ GLOW-TTW-SPCG กำไรโตต่อเนื่อง ไม่หวั่นเศรษฐกิจชะลอตัว ราคาหุ้นไม่เป๋ตามดัชนีฟันธงเป็นหุ้นเติบโตแบบยั่งยืน ตามแบบฉบับของ ดิเฟนซีฟสต๊อค


รวมสุดยอด 3 หุ้นทีเด็ด เหมาะลงทุนในช่วงตลาดขาลง รอบนี้เป็นคิวของ GLOW-TTW-SPCG กำไรโตต่อเนื่อง ไม่หวั่นเศรษฐกิจชะลอตัว ราคาหุ้นไม่เป๋ตามดัชนีฟันธงเป็นหุ้นเติบโตแบบยั่งยืน ตามแบบฉบับของ “ดิเฟนซีฟสต๊อค”

 

ผลจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง  โดยวานนี้ (25มี.ค.) ปรับตัวลดลงอีก -1.65จุด หรือลดลง 0.11% มาอยู่ที่ระดับ 1,512.80 จุด “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจหุ้นน่าลงทุน ในภาวะตลาดหุ้นผันผวน โดยคัดเลือกเอาหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทนต่อแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดี และมีผลกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี รวมไปถึงต้องเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในอัตราที่น่าพึงพอใจ ซึ่งพบว่า มีหุ้นอยู่ 3 ตัวด้วยกันที่เข้าข่ายเกณฑ์ดังกล่าว

 

เริ่มต้นที่หุ้นตัวแรกคือ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจในด้านพลังงานโดยมีธุรกิจหลัก คือการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมภายใต้ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือ Independent Power Producer และ ผู้ประกอบการโรงผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน หรือ Cogeneration Business ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 3,187.55 เมกะวัตต์ไอน้ำ 1,206 ตันต่อชั่วโมง และยังน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม 5,482 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และน้ำเย็น 3,400 ตันความเย็น

ส่วนผลประกอบการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบว่า ในปี 2554 มีกำไรสุทธิ 3.49 พันล้านบาทปันผลที่อัตรา 3.36% และถัดมาในปี 2555 มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 5.56 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 2.59% และต่อมาในปี 2556 ทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกเป็น 7.21 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 2.99% และล่าสุด ในปี 2557 บริษัทได้ทำสถิติกำไรสูงสุดที่ระดับ 9.14 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 3.09% ขณะที่ อัตราส่วนเงินปันผล ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 3.84%

สำหรับราคาหุ้น GLOW วานนี้ (25 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 86.50 บาท ปรับตัวขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.58% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36.71 ล้านบาท

 

หุ้นตัวที่สองคือ บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาให้กับการประปาส่วนภูมิภาค หรือ กปภ. ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานคร ครอบคลุม 2 จังหวัด ได้แก่ จ.นครปฐม และ จ.สมุทรสาคร โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 440,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และมีปริมาณการรับซื้อขั้นต่ำจาก กปภ. 318,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือกว่า 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทได้เข้าซื้อสิทธิในการผลิตน้ำประปาและการบำบัดน้ำเสียในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จนถึงเดือนสิงหาคม 2582 โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 48,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และสามารถบำบัดน้ำเสียได้ถึง 18,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน

ส่วนผลประกอบการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบว่า ในปี 2554 TTW มีกำไรสุทธิ 2.11 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 6.93% และถัดมาในปี 2555 มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 2.42 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 4.35% และต่อมาในปี 2556 ทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกเป็น 2.57 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 5.20% และล่าสุด ในปี 2557 บริษัทได้ทำสถิติกำไรสูงสุดที่ระดับ 2.97 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 5.17% ขณะที่ อัตราส่วนเงินปันผล ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 5.65%

สำหรับราคาหุ้น TTW วานนี้ (25 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 11.60 บาท ปรับตัวขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.87% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.95 ล้านบาท

 

หุ้นตัวที่สามคือ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เป็นผู้พัฒนาโซลาร์ฟาร์มแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันมีโซลาร์ฟาร์มรวมทั้งสิ้น 36 โครงการ บนพื้นที่ 10 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง โดยมีกำลังการผลิตรวม ขนาด 260 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นผู้ให้บริการด้านออกแบบและก่อสร้างโซลาร์ฟาร์ม ด้านการบำรุงรักษาและการประมวลผล รวมไปถึงเป็นผู้นำในการพัฒนาธุรกิจการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านเรือน อาคารธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่โรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วย

ส่วนผลประกอบการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบว่า ในปี 2554 SPCG มีผลขาดทุนสุทธิ 11.79 ล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 0.20% และถัดมาในปี 2555 พลิกกลับมามีกำไร 39.36 ล้านบาท โดยไม่ได้จ่ายปันผล และต่อมาในปี 2556 มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 499.32 ล้านบาท โดยไม่ได้จ่ายปันผลและล่าสุด ในปี 2557 บริษัทได้ทำสถิติกำไรสูงสุดที่ระดับ 1.66 พันล้านบาท อัตราส่วนเงินปันผล ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 3.09%

สำหรับราคาหุ้น SPCG วานนี้ (25 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 27.25 บาท ปรับตัวลง 0.25 บาท หรือ 0.91% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 46.12 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 3 ตัวดังกล่าว ถือเป็นหุ้นที่ไม่ตกต่ำตามภาวะตลาด หากเทียบกับดัชนีหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งจนถึงวานนี้ ดัชนีได้ปรับลดลงมา 76.53 จุด หรือกว่า 5% แล้ว ขณะที่ราคาหุ้นเหล่านี้ยังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับที่มั่นคง ไม่ได้ปรับตัวลงจนมีนัยสำคัญแต่อย่างใด อีกทั้งการจ่ายเงินปันผลสำหรับปีนี้ มีแนวโน้มที่จะจ่ายในอัตราที่ถือว่าสูงทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จนคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 2.75% ดังเช่นในปัจจุบัน    

Back to top button