KAMART โด๊ปอาหารเสริม

นับตั้งแต่เปลี่ยนโมเดลธุรกิจเมื่อ 7 ปีก่อนเพื่อ “หนีตาย” ฐานะทางการเงินของ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART ดีขึ้นในช่วง 3 ปีหลังโดดเด่นตามอัตภาพ มีอัตรากำไรสุทธิงดงามเรี่ยมเร้ หาที่ติไม่ได้


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

นับตั้งแต่เปลี่ยนโมเดลธุรกิจเมื่อ 7 ปีก่อนเพื่อ “หนีตาย” ฐานะทางการเงินของ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART ดีขึ้นในช่วง 3 ปีหลังโดดเด่นตามอัตภาพ มีอัตรากำไรสุทธิงดงามเรี่ยมเร้ หาที่ติไม่ได้

จากบริษัท “ขี้โรค” ทำธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าตลาดล่างทั้งสดและผ่อนยาวนานหลายทศวรรษ บริษัท ไดสตาร์ อีเล็คทริก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DISTAR ที่มาถึงทางตันเพราะไม่ทำกำไรอีกต่อไป

นายวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด และเป็นประธานกรรมการบริหาร ได้ใช้ความพยายามหันเหธุรกิจของบริษัท DISTAR มาจำหน่ายรถยนต์ รถโดยสารขนาดเล็ก, ขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ โดยอาศัยความร่วมมือทางด้านเทคนิคจากโรงงาน Higer Bus จากจีน แล้วก็ไม่เวิร์กอีก….จนกระทั่งทางออกถูกเปิดให้ภายหลัง ปี 2552 ที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ถล่มตลาดหุ้นไทยหนักหน่วง

นายวิวัฒน์ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส สามารถค้นพบทางเลือกใหม่ หันเห “ทิ้งอดีต มุ่งสู่อนาคตข้างหน้า” เข้าสู่ธุรกิจใหม่ นำเข้าเครื่องสำอางจากเกาหลีใต้ มาจัดจำหน่ายใหม่ในประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเอง

จากจุดเริ่มต้นลองผิดลองถูก ร้านค้าปลีก คาร์มาร์ท ที่มีแบรนด์สินค้าสร้างขึ้นใหม่ให้ดูเป็นเกาหลี เช่น  Cathy Doll, Cathy Choo, Baby Bright และ Jejuvita กลายเป็นสินค้าฮอตฮิตติดลมบน แถมยังเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์ชั้นนำจากประเทศเกาหลีโดยตรง อาทิ MlSSHA และ BRTC เป็นต้น

การโหนกระแส คลั่งเกาหลี ที่ได้ผลดีเกินคาด เครื่องสำอางเกาหลีขายได้ดี ยอดขายของ DISTAR เพิ่มขึ้น เกินจากปีก่อนหน้า กว่า 100%  ภายเวลาไม่ถึงครึ่งปี ทำให้วิวัฒน์ตัดสินใจในต้นปี 2554 เปลี่ยนชื่อบริษัทจากเดิมมาเป็น KAMART ดังที่รู้จักกันในปัจจุบัน มีเครือข่ายร้านค้าปลีกมากกว่า 20 สาขา ตัวแทนจำหน่ายในแฟรนไชส์ 500 แห่ง และร้านค้าปลีกอื่นๆ 1 พันกว่าแห่ง (ดูงบการเงินประกอบ)

ความสำเร็จในการเปลี่ยนธุรกิจจากที่เคยย่ำแย่มาสู่ธุรกิจใหม่ สะท้อนอยู่ในผลประกอบการและกลยุทธ์จ่ายปันผลทุกไตรมาส…ส่งผลทางอ้อมให้ราคาหุ้นของ KAMART ไม่เคยกลับไปต่ำเตี้ยเหมือนที่ระดับต่ำกว่า 0.50 บาท ก่อนปี 2554 อีกเลย แต่จะขึ้นลงตามกระแสตลาดมาโดยตลอด 

ล่าสุดกำไรจากการดำเนินงานไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเสียแล้ว ต้องมีกำไรพิเศษมากระตุ้น….ถึงจะเร้าใจในเรื่องราคาหุ้นได้มากกว่าปกติ

ล่าสุด KAMART รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อวานนี้ ว่า บริษัท ดิ ไอโคนิค พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่ KAMART ถือหุ้นอยู่ 33% ได้ตกลงทำ MOU ขายที่ดินขนาด 5-1-21 ไร่ คิดเป็นมูลค่า 773 ล้านบาท

ที่ดินดังกล่าว มีขนาด 2,121 ตารางวา หรือ ประมาณ 5 ไร่ 1 งานเศษ ตั้งอยู่ที่ตำบลบางลำภูล่าง เขตคลองสาน ฝรั่งธนบุรี โดยผู้ซื้อเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาด มีเงื่อนไขการซื้อขายที่น่าสนใจดังนี้

  • -ผู้ซื้อได้วางมัดจำจำนวน 20 ล้านบาท ในวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา 
  • -หลังจากนี้ ภายในวันที่ 27 มี.ค. ผู้ซื้อจะต้องทำสัญญาซื้อขายที่ดินและวางเงินมัดจำเพิ่มเป็น 25% ของมูลค่ารายการทั้งหมด 
  • -ผู้ซื้อจะต้องชำระส่วนที่เหลืออีก 75% ของมูลค่ารายการทั้งหมดพร้อมทั้งทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินภายในวันที่ 27 พ.ย. 2561 หากรายการนี้เสร็จสิ้นตามกำหนด

แม้รายละเอียดของดีลขายที่ดินจะยังไม่ออกมา แต่นักวิเคราะห์หุ้น “เสือปืนไว” ก็เร่งลนลานออกบทวิเคราะห์ “เชียร์แขก” ช่วงชิงความเร็วทันทีทันควันไม่รอช้า …ประเมินว่า การขายที่ดินแปลงดังกล่าว จะทำให้ KAMART จะบันทึกกำไรพิเศษราว 180-190 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2561

กำไรพิเศษที่คาดว่าจะมากกว่า 50% ของกำไรสุทธิทั้งปีนี้ ทำให้โอกาสที่ในปีหน้า หากไม่มีอะไรเลวร้ายเกินเหตุ พี/อี ของหุ้น KAMART จะลดฮวบฮาบ

คำแนะให้ “ซื้อ” จึงเกรียวกราวกันเลยทีเดียว 

งานนี้เรียกว่าได้ทั้งเงินทั้งกล่องเพราะเงื่อนไขการซื้อขายที่ดินที่แบ่งชำระ 2 งวด แถมมีเงินมัดจำกันเบี้ยวอีกตั้ง 20 ล้านบาทมาถือไว้ในมือ (แม้ว่าจะต้องบันทึกในรูปหนี้มีภาระก็ไม่ใช่ประเด็น) สอดรับกับ “อารมณ์” หรือ เซนติเมนท์ ของนักลงทุนและตลาด แบบที่ซีอีโอใหญ่นายวิวัฒน์ ผู้เจนจบกระบวนยุทธ์ถนัดมายาวนาน

จากนี้ไป หากราคา KAMART จะค้างเติ่งเป็นสภาพ “โด่ไม่รู้ลืม” ตลอดทั้งปี ก็อย่าได้ประหลาดใจ….เพราะกินอาหารเสริมต่อเนื่องให้ปึ๋งปั๋งไงล่ะ คุณเพ่!!

อิ อิ อิ

Back to top button