HFT ทรุดหนัก

ข้อเสียของนักลงทุนรายย่อยที่เห็นได้ชัดเจนสุด คือ มองการลงทุนในแต่ละรอบยาวเกินไปบ้าง สั้นเกินไปบ้าง และบางครั้งก็มีความมั่นใจในการลงทุนที่เกินตัว ส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดในการลงทุนเยอะแยะไปหมด จนบางครั้งไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำไปว่า ลงทุนซื้อหุ้นตัวนั้นไปได้อย่างไร


ตีแผ่บจ.ดัง

คุณวรวิทย์ จากพระราม 3 กรุงเทพฯ เล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น HFT หรือ บริษัท ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ว่า ตัวเองมองเห็นราคาหุ้นวนเวียนไปมาที่ 5 บาทมาพักใหญ่ๆ จึงมั่นใจว่า ราคาหุ้นจะยืนเหนือระดับ 5 บาทได้อย่างแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายราคาหุ้นดันรูดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดูเหมือนหุ้นจะทรุดตัวลงหนักอีกครั้ง เลยอยากรู้ว่า สถานการณ์ของหุ้นตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ยังมีอนาคตอยู่หรือเปล่า? สุดท้ายนี้อยากให้หนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้น” อยู่เป็นกระบอกเสียงแทนนักลงทุนรายย่อยด้วยครับ

 

ข้อเสียของนักลงทุนรายย่อยที่เห็นได้ชัดเจนสุด คือ มองการลงทุนในแต่ละรอบยาวเกินไปบ้าง สั้นเกินไปบ้าง และบางครั้งก็มีความมั่นใจในการลงทุนที่เกินตัว ส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดในการลงทุนเยอะแยะไปหมด จนบางครั้งไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำไปว่า ลงทุนซื้อหุ้นตัวนั้นไปได้อย่างไร

นี่เป็นคำถามที่อาจารย์พบได้เป็นประจำในยามที่ตัวนักลงทุนเริ่มขาดทุนหนักขึ้นเรื่อยๆ หรือเริ่มจะพอมีหวังทำกำไรได้เล็กๆ น้อยๆ จึงต้องหาคำแนะนำบางอย่างเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ ซึ่งเป็นการตอกย้ำคุณภาพของนักลงทุนไทยยังไม่มีระเบียบวินัยในการลงทุน

ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้นักลงทุนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับหุ้น HFT หรือ บริษัท ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มากมายหลายเรื่อง ทั้งที่ตัวนักลงทุนเคยเห็นบทวิเคราะห์ที่เขียนถึงหุ้นตัวนี้ในเชิงบวกมากมาย พร้อมกับชี้ให้เห็นจุดที่น่าสนใจหลายอย่างที่ทำให้หุ้นตัวนี้มีการยกฐานราคาหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นจังหวะที่นักลงทุนสามารถขายทำกำไรได้สบายๆ

ปัญหามีอยู่ว่า นักลงทุนชอบตั้งความหวังที่สูงเกินไป และบางครั้งก็ไม่ยอมตัดใจขายหุ้น (ทั้งที่แค่ขาดทุนกำไร ไม่ได้ขาดทุนตัวแดงโร่สักหน่อย)

อาจารย์ถึงมองว่า เรื่องทั้งหมดเป็นปัญหาของตัวนักลงทุน ไม่ได้เป็นปัญหาของบริษัท จึงต้องพยายามปรับความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการในการลงทุนเรื่องที่ “ขายหมูไปเรื่อยๆ ดีกว่าขายขาดทุน” เพราะไม่มีใครรู้ว่า ราคาหุ้นจะไปสุดตรงราคาไหนนั่นเอง

โดยทางออกที่ดีสุดในจังหวะนี้ คือ ตัวนักลงทุนมอง HFT มีความสามารถในการทำกำไรทุกปีเป็นแบบไหน และมองเรื่องอัตราการจ่ายปันผลที่ตกปีละ 2% เป็นอย่างไร และท้ายสุดมองเรื่องราคาหุ้นที่เทรดบนค่า P/E 8.60 เท่าเป็นโอกาสทองไหม

ทั้งหมดเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องกลับไปเรียนรู้อย่างเป็นระบบอีกครั้ง หรือมองในมุมของตัวอาจารย์ก็ต้องบอกให้ทราบว่า กำไรปี 2560 ลดลงเหลือ 255.64 ล้านบาท หรือ 0.39 บาทต่อหุ้น เทียบกับปี 2559 ทำกำไรได้ทั้งสิ้น 337.75 ล้านบาท หรือ 0.51 บาทต่อหุ้น มันทำให้เสน่ห์ของหุ้นตัวนี้หดหายไปเยอะ จนไม่มีความจำเป็นต้องสนใจนะครับ

เหล่านี้เป็นคำตอบที่นักลงทุนต้องค้นหาด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นเป็นคนตอบ!

สภาแมงเม่า : ดร.สมชาย

X
Back to top button