SPRC ร่วงหนัก4% หลังกบง.มีมติปรับเกณฑ์คำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น คาดกระทบราคาขายส่งลดลง

SPRC ร่วงหนัก4% หลังกบง.มีมติปรับเกณฑ์คำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นจาก Euro III เป็น Euro IV คาดกระทบราคาขายส่งลดลง โดย ณ เวลา 16.01 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 15.30 น. บาท ลบ 0.60 บาท หรือ 3.77% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 540.48 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC โดย ณ เวลา 16.01 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 15.30 น. บาท ลบ 0.60 บาท หรือ 3.77% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 540.48 ล้านบาท คาดนักลงทุนเทขาย หลังกบง.มีมติปรับเกณฑ์คำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นหนุนราคาขายส่งลดลง

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)ว่า ที่ประชุมมีมติปรับโครงสร้างเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเห็นชอบให้ใช้เกณฑ์ราคา Euro IV เป็นฐาน จากวิธีเดิมที่ใช้ Euro III เป็นฐาน

ทั้งนี้ จะส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ซึ่งเป็นเพียงราคาอ้างอิงของรัฐบาล ไม่ได้เป็นการบังคับให้โรงกลั่นน้ำมันต้องปฏิบัติตาม แต่ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณการแข่งขันของตลาดที่เข้มข้นขึ้น

โดยการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว โดยการตัดค่าปรับปรุงคุณภาพจาก Euro III เป็น Euro IV ทำให้สูตรใหม่เป็นการอิงกับมาตรฐาน Euro IV ซึ่งเป็นสากล รวมถึงปรับปรุงโครงสร้างการคำนวณค่าขนส่ง และระบบโลจิสติกส์ที่มีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นปัจจุบันมากขึ้น ทำให้การปรับวิธีการคำนวณดังกล่าวส่งผลเมื่อเทียบราคาน้ำมัน ณ วันนี้ จะทำให้ราคาขายส่งน้ำมันหน้าโรงกลั่นมีส่วนลดลงไป สำหรับน้ำมันดีเซล 41 สตางค์/ลิตร ,น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 61 สตางค์/ลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลดลง 43 สตางค์/ลิตร

นายศิริ กล่าวอีกว่า ในวันนี้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันนี้ถึงมติ กพช.ที่อนุมัติให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์และดีเซล ลง 15 สตางค์/ลิตร เป็นระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า จากเดิมที่เก็บ 25 สตางค์/ลิตร ก็จะลดลงเหลือ 10 สตางค์/ลิตรตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้รายได้เข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ฯ ลดลงเหลือ 3,500 ล้านบาท/ปี จากเดิมที่ 9,000 ล้านบาท/ปี จากสถานะกองทุนปัจจุบันอยู่ที่ราว 41,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกับมติ กบง.ที่ปรับปรุงเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นในวันนี้ จะทำให้ราคาขายส่ง (ก่อนรวมค่าการตลาดและจัดจำหน่ายตามสถานีบริการ) ลดลงได้ 60-80 สตางค์/ลิตรสำหรับน้ำมันทุกประเภท

อย่างไรก็ตาม ในส่วนราคาขายปลีกจะปรับลดลงในอัตราเท่ากับขายส่งหรือไม่นั้น ขึ้นกับผู้ค้าน้ำมันแต่ละรายเพราะตลาดน้ำมันเป็นการแข่งขันเสรี แต่ราคาขายปลีกน้ำมันทุกประเภทจะปรับลดลงอย่างน้อย 15 สตางค์/ลิตรในวันพรุ่งนี้ ตามการลดเงินนำเข้าของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานดังกล่าว โดยการออกมาตรการในวันนี้เพื่อจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ในทิศทางขาขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถรองรับได้ราว 3-4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

รมว.พลังงาน กล่าวด้วยว่า โรงกลั่นน้ำมันสามารถที่จะใช้สูตรการคำนวณซื้อขายน้ำมันหน้าโรงกลั่นในปัจจุบันได้ตามปกติ เพียงแต่การปรับสูตรของภาครัฐครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณที่เหมาะสมเท่านั้น ส่วนคู่ค้าจะเจรจากันอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการแข่งขัน สำหรับค่าการตลาดขายปลีกน้ำมันในปัจจุบันยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ทางภาครัฐใช้ในการติดตามนั้นก็เป็นตัวเลขภายในที่รัฐบาลใช้ดูแลซึ่งในแต่ละพื้นที่มีอัตราไม่เท่ากัน

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ยังไม่สามารถคาดได้ชัดเจนว่าการปรับสูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นในรอบนี้จะกระทบกับผลประกอบการหรือไม่ จึงต้องรอเห็นโครงสร้างปรับสูตรใหม่ก่อน แต่โดยปกติแล้วการซื้อขายราคาซื้อขายหน้าโรงกลั่นมีบางส่วนที่ซื้อขายต่ำกว่าราคาอ้างอิงอยู่แล้วสะท้อนกลไกตลาด ซึ่งหากเป็นไปตามคาดโดยยกเลิกค่าพรีเมียม เหลือเพียงอ้างอิงตามตลาดสิงคโปร์เท่านั้น และยังซื้อขายกันแบบเสรีเช่นเดิม เชื่อว่าจะกระทบกับผลการดำเนินงานธุรกิจโรงกลั่นไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กังวลคือถ้าโจทย์ของรัฐบาลต้องการปรับลดราคาน้ำมันขายปลีกหน้าสถานีบริการ คงต้องมาติดตามว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นอย่างไร เพราะราคาขายปลีกขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักคือ ต้นทุนราคาหน้าโรงกลั่น ภาษี และค่าการตลาด

โดยธุรกิจโรงกลั่นในปีนี้จะไม่เติบโตหวือหวาเหมือนในปีก่อน เพราะมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนสูงขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมันและ Crude Premiun ซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนค่าการกลั่น โดยมุมมองดังกล่าวไม่ได้นับรวมกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด อย่างเช่นในปีก่อนที่เกิดพายุเฮอร์ริเคนในสหรัฐฯ ทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายชะลอการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาด

นอกจากนี้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวสูง และส่งผลดีในแง่กำไรพิเศษจากสต็อกน้ำมัน แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วอยากให้นักลงทุนมองว่ากำไรพิเศษจากสต็อกน้ำมันเป็นเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น เพราะหากราคาน้ำมันปรับตัวลงในไตรมาสถัดไป ก็จะเกิดภาวะขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเช่นกัน ไม่เหมือนกับในช่วงที่ราคาน้ำมันเป็นขาลง ซึ่งจะเห็นว่าหุ้นกลุ่มโรงกลั่นทำผลงานดี เพราะต้นทุนการผลิตลดลง มีผลต่อความสามารถทำกำไรได้ชัดเจนมากกว่า

ทางเมย์แบงก์ฯ มองหุ้นที่ถูกผลกระทบน้อยที่สุดหากรัฐปรับสูตรน้ำมันหน้าโรงกลั่น ได้แก่ PTTGC เพราะมีสัดส่วนกำไรจากโรงกลั่นน้อยที่สุดในกลุ่ม ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ SPRC ที่มีธุรกิจโรงกลั่นทั้ง 100%

ด้านนักวิเคราะห์กลุ่มพลังงาน บล.เอเซีย พลัส ประเมินผลกระทบกลุ่มโรงกลั่นไว้ 2 กรณี คือ

*กรณีผู้ประกอบไม่ได้รับผลกระทบ หรือถูกกระทบเล็กน้อย เพราะปัจจุบันราคาหน้าโรงกลั่น ประกอบด้วย ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเภทยูโร3 และต้องนำมาปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเพื่อเป็นประเภทยูโร 4 ที่ประเทศไทยใช้ในปัจจุบัน โดยค่าพรีเมียมที่จะถูกยกเลิก แบ่งเป็น ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันคิดเป็นมูลค่า 3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ค่าขนส่งทางเรือ 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ค่าประกันภัยน้ำมันหาย 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือราคาขายหน้าโรงกลั่น เป็นตลาดซื้อขายเสรีขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาอ้างอิงที่ประกาศไว้อยู่แล้ว จึงทำให้ถ้ามีผลกระทบเกิดขึ้นก็มองว่าเล็กน้อยเท่านั้น

*กรณีผู้ประกอบการถูกกระทบ หากผลการประชุมตัดสินให้รัฐบาลสามารถเข้าแทรกแซงราคาซื้อขายหน้าโรงกลั่นได้โดยไม่เป็นไปตามกลไกตลาดเสรีเหมือนกับในปัจจุบัน จะมีผลกระทบกับกำไรกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวลดลงจากสมมติฐานเดิมที่อ้างอิงราคาตลาดที่แท้จริง โดยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบต่อกำไรมากที่สุด เป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นในสัดส่วนมากที่สุด ซึ่งได้แก่ SPRC ที่มีสัดส่วนโรงกลั่นคิดเป็น 100% ของกำไรสุทธิ รองลงมาคือ BCP, ESSO, TOP, IRPC และ PTTGC            

Back to top button