SUN กระฉูดกว่า 14% นิวไฮในรอบ 2 เดือน คาดผลงาน Q2/61 โต 10% หลังออเดอร์พุ่ง-ส่งออกเพิ่ม

SUN กระฉูดกว่า 14% นิวไฮในรอบ 2 เดือน คาดผลงาน Q2/61 โต 10% หลังออเดอร์พุ่ง-ส่งออกเพิ่ม โดย ณ เวลา 15.11 น. อยู่ที่ระดับ 3.84 บาท บวก 0.48 บาท หรือ 14.29% สูงสุดที่ 4 บาท ต่ำสุดที่ 3.38 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 39.75 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ณ เวลา 15.11 น. อยู่ที่ระดับ 3.84 บาท บวก 0.48 บาท หรือ 14.29% สูงสุดที่ 4 บาท ต่ำสุดที่ 3.38 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 39.75 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 2 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 3.88 บาท เมื่อวันที่ 31 พ.ค.61

ดร.องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SUN เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/61 น่าจะมีการเติบโตตามที่ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ไม่น้อยกว่า 10% ซึ่งในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปี ถือว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นของการเพาะปลูกข้าวโพดหวาน เพราะมีปริมาณผลผลิตข้าวโพดหวานมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1

ดังนั้น จึงทำให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าได้ตามออเดอร์ที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาได้รับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากลูกค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% ขณะเดียวกันค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงน่าจะเป็นปัจจัยให้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้ส่งข้าวโพดหวานปิ้งไปจำหน่ายยังประเทศเกาหลีใต้ผ่านร้านสะดวกซื้อจำนวน 14,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งคาดจะได้รับการตอบรับที่ดีจากคนเกาหลี และถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต่อยอดมาจากข้าวโพดหวานแบบต้มที่ได้รับความนิยมมากในประเทศเกาหลีใต้เช่นกัน

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทกำลังพัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม READY TO EAT เพื่อขยายตลาดและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เน้นอาหารที่มีประโยชน์และพร้อมรับประทานได้เลย เช่น Baby food, Super food และ Elder food ที่มีส่วนผสมหลัก คือ ผักและผลไม้ที่มีประโยชน์

โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มีโอกาสนำเสนอผลิตภัณฑ์ในงานฟู้ดแฟร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างดี และคาดจะสามารถส่งออกไปยังประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่นในเร็ว ๆ นี้ โดยมีบริษัท VIAMIRAH FOOD PROCESSING ผู้ผลิตอาหารสุขภาพของออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตสินค้า

“ผู้บริโภคเริ่มมีความสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น พร้อมกับความสะดวกสบายในการรับประทาน เราจึงมีการพัฒนาสินค้าในกลุ่ม READY TO EAT และ HEALTH FOOD มากขึ้น ซึ่งน่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของ READY TO EAT เป็น 15% จากเดิมที่มีสัดส่วน 10% ที่มีเพียงสินค้าในกลุ่มข้าวโพดหวานบรรจุถุงสุญญากาศ” ดร.องอาจ กล่าว

Back to top button