SCN ส่งซิกรายได้ไตรมาส 1/62 โตแกร่ง รับรู้ส่งมอบ “เมล์ NGV” 600 ลบ.

SCN ส่งซิกรายได้ไตรมาส 1/62 โตแกร่ง รับรู้ส่งมอบ “เมล์ NGV” 600 ลบ.


ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ หรือ SCN เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้เข้าร่วมลงทุนใน บริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GEP Thailand โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 30% เพื่อเข้าร่วมดำเนินโครงการพัฒนาและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 220 เมกะวัตต์ ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมา ร่วมด้วย บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF, บริษัท เมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ META และ Noble Planet PTE. Ltd. (“NP”) นั้น

โดยความคืบหน้าของโครงการดังกล่าว ได้อยู่ในขบวนการกำลังทดสอบระบบก่อนใช้แรงดันจริง (Cold Commissioning) โดย Power Transmission and System Control (“DPTSC”) ภายใต้การดูแลของกระทรวงพลังงานและไฟฟ้า (Ministry of Electricity and Energy; MOEE) เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากการทดสอบโดย MOEE และผู้รับซื้อไฟฟ้า (Electric Power Generation Enterprise; EPGE) เสร็จสิ้น

คาดว่าโครงการจะสามารถเริ่ม COD เฟสที่ 1 ขนาดกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์DC ภายในไตรมาสที่ 1 นี้อย่างแน่นอน และจะทะยอยก่อสร้างเฟสที่ 2, 3 และ 4 ให้แล้วเสร็จต่อไปตามลำดับ โดยได้รับสัมปทานเพื่อพัฒนาและดำเนินงานแบบ BOT (Built-Operate-Transfer) ระยะเวลาสัญญา 30 ปี ด้วยอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้รับสนับสนุนจากภาครัฐ 0.1275 USD / kWh ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 10% นอกจากนี้บริษัทจะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 10%

โดยมองว่าโครงการมินบูเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ดี มีศักยภาพ โดยจะมุ่งมั่นพัฒนาให้โครงการมีความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำลังการผลิตที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 350,000,000 kWh/ปี รองรับการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 217,256 ครัวเรือน สอดคล้องกับความปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้น คาดการณ์อัตราการเติบโตความต้องการการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยถึงร้อยละ 11.7 ต่อปี

อีกทั้งการเข้าถึงการใช้ไฟฟ้าของเมียนมามีเพียงแค่ร้อยละ 34 ณ ปี 2558 คาดว่าการพัฒนาด้านพลังงานเพื่อให้การเข้าถึงไฟฟ้าของประชาชนที่อัตราการเติบโตดังกล่าว จะทำให้การเข้าถึงการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละ 87 ภายในปี 2573

นอกไปจากนี้ยังกล่าวถึง โครงการล่าสุดที่เพิ่งปิดจ๊อบไป สำหรับโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV จำนวน 489 คัน ให้แก่ ขสมก. กับกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ได้ทำการส่งมอบเสร็จสิ้นและได้รับเงินจากขสมก. เมื่อเดือนก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ บริษัทยังรับได้สัมปทานเป็นผู้ดูแลงานบำรุงรักษาและซ่อมแซมรถเมล์ NGV ตามสัญญาจ้างเป็นระยะเวลา 10 ปี อีกด้วย

บริษัทได้มีการวางแผนในการขยายตัวทางด้านธุรกิจยานยนต์อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการจัดซื้อจัดเช่าของ ขสมก. ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมกันนี้ได้จัดตั้ง 2 บริษัทย่อย คือ บริษัท แพนเทอรา มอเตอร์ส จำกัด และ บริษัท สปาร์ตัน ออโต้ ลีส จำกัด เพื่อเข้ามารองรับธุรกิจด้านยานยนต์โดยเฉพาะ

แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/62 จะเติบโตกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อน เพราะทางบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากการส่งมอบรถเมล์ NGV มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วน 50% กับกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO รวมไปถึงธุรกิจก่อสร้างสถานี NGV และงานเดินท่อ ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมอบงานดังกล่าวและจะทยอยรับรู้รายได้จนหมดในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือประมาณ 200 ล้านบาท มั่นใจจะทำให้รายได้ไตรมาส 1/62 เป็นไปตามเป้าหมาย ประมาณ 30%

Back to top button