ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง CPW ขายไอพีโอ 160 ล้านหุ้น เดินหน้าเทรด SET ไตรมาส 4/62

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง CPW ขายไอพีโอ 160 ล้านหุ้น เดินหน้าเทรด SET ไตรมาส 4/62


นางสาวเนาวรัตน์ ธรรมสวยดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บล.เคที ซีมิโก้ จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูล ของ บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 160 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.67% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ ภายในไตรมาส 4/2562

สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อนำไปใช้ลงทุน และ/หรือขยายธุรกิจร้านค้าปลีก ปรับปรุงสาขาร้านค้าปลีก ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระเงินกู้ยืม โดยมีโครงการขยายสาขาร้านค้าปลีกของบริษัทในปี 2563 ทั้งหมด 6 สาขา ในประเทศไทย ได้แก่ ร้าน .life และร้าน Apple Brand Shop  คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 70,000,000 บาท ไม่รวมค่าเช่าร้าน และโครงการปรับปรุงสาขาร้านค้าปลีกของบริษัท ในปี 2563 ประมาณ 3 สาขา ได้แก่ ร้าน .life ให้มีความทันสมัยและมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 18,000,000 บาท

โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2562 CPW มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วก่อน IPO 440,000,000 หุ้น ทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 600,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น นโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามกฎหมายกำหนด

ด้านนายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CPW เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์จากแบรนด์ชั้นนำที่มีความหลากหลายกว่า 200 แบรนด์ชั้นนำ และกว่า 2,000 รายการ ครอบคลุมสินค้าที่มีนวัตกรรม ทันสมัย

ตอบสนองลูกค้าสำหรับชีวิตยุคใหม่ และสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น อุปกรณ์เกี่ยวกับเสียง อุปกรณ์เพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย อุปกรณ์ภายในบ้านและสำนักงาน และอุปกรณ์เสริมต่างๆ

รวมไปถึง จำหน่ายสินค้าแบรนด์ Apple ทั้งสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต ผ่านร้านค้าปลีกภายใต้การบริหารงานของบริษัทฯ

ขณะที่ผลประกอบการงวดประจำ 6 เดือนแรกปี 2562 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,577.80 ล้านบาท เติบโต 5.90% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,489.87 ล้านบาท กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 236.98 ล้านบาท เติบโต 8.56% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 218.29 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ อยู่ที่ 26.48 ล้านบาท ลดลง 33.33% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 39.72 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขาย เนื่องจากมีการปิดปรับปรุงร้าน .life สาขาสยามพารากอน ทำให้ไม่มีรายได้จากสาขานั้น อีกทั้งยังมีการเปิดสาขาใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

ด้านสัดส่วนรายได้หลัก งวดประจำ 6 เดือนแรกปี 2562 ได้แก่ กลุ่มสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ (Digital lifestyle) 46.33% กลุ่มโทรศัพท์มือถือ (Smartphone) 22.94% กลุ่มคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต (Computer & Tablet) 27.72% กลุ่มบริการซ่อมแซม และรับประกัน 2.43% ของรายได้รวม

สำหรับผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทคอปเปอร์ไวร์ดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ มีสาเหตุหลักมาจากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของการขายกลุ่มสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ และการขยายธุรกิจค้าส่งของบริษัทย่อยซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง

โดยปัจจุบัน CPW อยู่ระหว่างเดินหน้าตามแผนเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ปีนี้ ตอกย้ำการเป็นผู้นำในตลาดสินค้ากลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน CPW เตรียมจัดงานนำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับกองทุน และนักลงทุนรายย่อยที่ตลาดหลักทรัพย์ในต้นเดือนตุลาคมนี้

“ธุรกิจค้าปลีกสินค้ากลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ยังถือเป็นตลาดที่ใหม่มาก มองตลาดในประเทศไทย ยังไม่มีใครเป็นผู้นำธุรกิจนี้อย่างแท้จริง ขณะที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคของ IoT และ 5G สนับสนุนให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา เครื่องมือสื่อสารและอุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมโยงกัน ทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น และเทรนด์สินค้ากลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์อยู่ในช่วงขาขึ้น และอยู่ในเทรนด์การเติบโตของโลก

ขณะที่ CPW เรามองเห็นโอกาสการเติบโตนี้มานานแล้ว เป็นบริษัทรายแรกๆ ที่เข้ามารุกตลาดนี้ และไม่กังวลกับการแข่งขัน เพราะเรามั่นใจด้วยประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีกมากว่า 19 ปี เข้ามารุกสินค้ากลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยมาแล้ว 17 ปี ทำให้เราเชี่ยวชาญกว่าใครในการคัดสรรสินค้าที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม ทันสมัย ตอบสนองผู้บริโภคทั้ง B2B และ B2C” นายปรเมศร์ กล่าว

Back to top button