โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” RATCH ชูราคาหุ้น Laggard ชี้ผลงานปีนี้ทำ “ออลไทม์ไฮ”

โบรกฯเชียร์ "ซื้อ" RATCH ชูราคาหุ้น Laggard ชี้ผลงานปีนี้ทำ "ออลไทม์ไฮ"


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับหุ้น บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH หลังวานนี้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงสวนภาวะตลาดหุ้นไทย

โดยราคาหุ้น RATCH ปิดวานนี้ที่ระดับ 81.50 บาท บวก 3 บาท หรือ 3.82% สูงสุดที่ระดับ 83 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 78.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.1 พันล้านบาท

ด้านบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำหุ้น RATCH เป็นหุ้น Laggard กลุ่มไฟฟ้า เพราะหุ้นไฟฟ้าเกือบทุกตัวปรับขึ้นเลยราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐาน และทำราคาสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แต่ RATCH ยังไม่ทำ New high โดยยังคงชอบ RATCH เพราะราคาหุ้นมี Upside จากการเติบโตของกำไรที่จะทำ All time high ปีนี้, ได้กำลังผลิต IPP ใหม่ 700 MW และล่าสุดได้อีก 150MW โรงไฟฟ้าลมในออสเตรเลีย และ โรงไฟฟ้าเอสพีพี 110MW  ขณะที่ยังรอประกาศ Partner เพื่อต่อยอดธุรกิจ

ด้านนายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (21-25 ต.ค. 2562) คาดดัชนีจะแกว่งตัวกรอบแคบ ซึ่งประเด็นสำคัญขณะนี้คือ นักลงทุนกำลังติดตามดูเรื่องข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯ กับจีน แม้การทำข้อตกลงกันจะมีความคืบหน้ามากขึ้นตามลำดับ

อย่างไรก็ตามผลพวงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จึงทำให้นักลงทุนในตลาดโลกยังไม่รีบกลับเข้ามาลงทุนมากนัก โดยราคาสินทรัพย์ปลอดภัยอ่อนตัวลงจากการขายทำกำไร เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบที่ยังเคลื่อนไหวแบบทรงตัว ทำให้หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีของไทย จึงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับเดิม แต่อาจดีดตัวขึ้นได้ในช่วงสั้น

ส่วนประเด็นในเรื่องการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ล่าสุด รัฐสภาอังกฤษได้มีการลงมติเลื่อนการรับรองข้อตกลงออกไป จากกำหนดเดิมคือวันที่ 31 ต.ค. เพื่อให้มีการผ่านร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ออกมาก่อน จึงต้องจับตาดูความชัดเจนต่อไป

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย ปี 2563 วาระแรกไปแล้ว เป็นการช่วยคลายความกังวลต่อตลาดลงได้บ้าง แต่ในสัปดาห์นี้จะมีการรายงานกำไรของหุ้นธนาคารเป็นสัปดาห์สุดท้าย คาดว่าโดยรวมออกมาไม่ดีนัก ทำให้นักลงทุนอาจให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มอื่นที่จะทยอยรายงานกำไรออกมา

สำหรับประเด็นที่ต้องติดตาม คือ การรายงานตัวเลขส่งออกของไทยในวันที่ 21 ต.ค., การประชุมธนาคารกลางยุโรป ในวันที่ 24 ธ.ค. และการคาดการณ์ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 29-30 ต.ค. ณ เวลานี้ ตลาดประเมินว่ามีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 หากเป็นไปตามจะถือเป็นผลบวกต่อตลาด

การลงทุนในสัปดาห์นี้ แนะนำหุ้นกลุ่มปลอดภัย ได้แก่ โรงไฟฟ้า, สื่อสาร โดยสลับเข้าลงทุนในตัวที่ราคายังขึ้นมาไม่มาก เพราะเชื่อว่าดัชนีฯ ยังไปได้ไม่มากนัก นอกจากนี้แนะนำเพิ่มหุ้นที่มีปัจจัยหนุนอื่น ๆ รวมทั้งหุ้นที่คาดว่ากำไรไตรมาส 3 จะออกมาดี แต่ยังแนะนำถือเงินสดไว้ 20% โดยหุ้นที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย OSP, RATCH, CPN, CPALL, HMPRO, TRUE , AWC และ TASCO ประเมินกรอบดัชนีฯ ในรอบสัปดาห์ที่ 1,620-1,650 จุด

Back to top button