SHR ลุ้นลงสนามวันแรกวิ่งเหนือจอง 5.20 บ. ชู 3 กลยุทธ์เด่นผลักดันผลงานโต

SHR ลุ้นลงสนามวันแรกวิ่งเหนือจอง 5.20 บ. ชู 3 กลยุทธ์เด่นผลักดันผลงานโต


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (12 พ.ย.) หลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญของบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มบริการ หมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการ เป็นวันแรก โดยมีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. และหุ้นชำระแล้ว 206 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นทุนชำระแล้ว 103 ล้านบาท

สำหรับ SHR นั้นเป็นบริษัทในเครือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ซึ่งเป็นสินทรัพย์ประเภทโรงแรมและรีสอร์ทหรูระดับโลกของตระกูล “ภิรมย์ภักดี” โดยจะเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,437,456,000 หุ้น ในราคา IPO หุ้นละ 5.20 บาท จากมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 5 บาท

โดย นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน SHR เปิดเผยว่า SHR เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารโรงแรมและรีสอร์ทระดับบนในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Luxury) และบริษัทยังคงจะเติบโตในธุรกิจโรงแรมที่เป็นประเทศจุดหมายปลายทาง (Destination) ของนักท่องเที่ยวในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการหาประสบการณ์ และต้องการให้ผู้ที่มาใช้บริการโรงแรมของ SHR แล้วกลับมาใช้อีก

ทั้งนี้ในการเงินระดมทุนขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 7,475 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ชำระเงินกู้ยืมและใช้ขยายธุรกิจ ซึ่งแบ่งเป็นใช้ชำระหนี้สถาบันการเงิน ประมาณ 5,500 ล้านบาท เพื่อให้โครงสร้างเงินทุนต่ำกว่าปัจจุบัน ซึ่งหลังจากการชำระหนี้ดังกล่าวอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทจะลดลงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 0.5 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.5 เท่า และจะทำให้บริษัทมีความสามารถในการกู้ยืมเงินได้มากขึ้นประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาท และมีความสามารถในการขยายกิจการในอนาคต

ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งการลงทุนซื้อสินทรัพย์ใหม่ ๆ และการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ซึ่งเบื้องต้นบริษัทตั้งงบลงทุนในการขยายธุรกิจ ทั้งการปรับปรุง การลงทุนใหม่ ๆ และการเข้าซื้อกิจการ ประมาณ 5,000-8,000 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายภายในปี 2568 จะขยายจำนวนโรงแรมเพิ่มเป็น 80 แห่ง จะมีห้องพักรวมประมาณ 8,000-9,000 ห้อง คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ผ่านแพลตฟอร์มธุรกิจ 4 แบบ คือ 1.โรงแรมที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง 2.โรงแรมที่บริหารผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลก 3.โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม และ 4.โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเอง

โดยจะใช้ 3 กลยุทธ์หลัก ในการขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต ประกอบด้วย

  1. กลยุทธ์การเติบโตแบบ Asset Grown คือการเติบโตในเชิงของสินทรัพย์ ซึ่งบริษัทยังคงเน้นลงทุนในหัวเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว เช่น ประเทศไทย เวียดนาม แอฟริกา เป็นต้น โดยจะเน้นลงทุนในโรงแรมระดับ 3-4.5 ดาว ขนาดตั้งแต่ 150-300 ห้อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวในกลุ่มการท่องเที่ยวแบบไลฟ์สไตล์ ซึ่งปัจจุบันมีการเจรจาเพื่อเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีข้อสรุป
  2. กลยุทธ์การมุ่งเน้นการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร โดยการเพิ่มสัดส่วนของโรงแรมในรูปแบบการบริหารจัดการเอง เพราะสร้างกำไรสูงสุดในพอร์ต ซึ่งปัจจุบัน SHR มีโรงแรมที่บริหารจัดการเอง จำนวน 2 แห่ง คือ โรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ต และโรงแรมสันติบุรี ที่เกาะสมุย ซึ่งในช่วงปี 2558-2559 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากทั้ง 2 โรงแรม อยู่ที่ระดับ 35-40%

ขณะเดียวกันบริษัทยังมุ่งเน้นการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสินทรัพย์ที่ซื้อมาในช่วงก่อนหน้า ทั้งโรงแรมภายใต้แบรนด์ เอาท์ทริกเกอร์ (Outrigger) และโรงแรมในสหราชอาณาจักร เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร

3. กลยุทธ์การมุ่งสู่ Asset Light Model คือ การลดทรัพย์สินในพอร์ต แต่เพิ่มความสามารถในการทำกำไร เช่น การนำกำไรดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายแบรนด์ SAii (ซาย) ที่ SHR เป็นเจ้าของไปบริหารให้กับผู้ประกอบการรายอื่น และบริษัทเป็นผู้เก็บค่าธรรมเนียม หรือการนำทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งบริษัทสามารถเก็บค่าบริหารสินทรัพย์ในกอง REIT ได้ เพื่อคงสถานะและรักษาสมดุลของ D/E ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

Back to top button