SHR กางแผนปี 63 ลุยขยายธุรกิจ-ซื้อกิจการ คาดพลิกมีกำไรพร้อมปันผลทันที

SHR กางแผนปี 63 ลุยขยายธุรกิจ-ซื้อกิจการ คาดพลิกมีกำไรพร้อมปันผลทันที


นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิในปี 63 หลังจาก 9 เดือนแรกของปีนี้ยังมีผลขาดทุนราว 299 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นจากการนำเงินที่ระดมผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ไปชำระคืนหนี้ส่งผลทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับลดลง ซึ่งหากกลับมามีกำไรทางบัญชีบริษัทก็มีแผนจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นตามนโยบายไม่น้อยกว่า 40% ทันที

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 63 เติบโต 60% โดยรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากโรงแรม Crossroads จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม ซาย ลากูน มัลดีฟส์ คูริโอ คอลเล็กชั่น บาย ฮิลตัน (SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton) และโรงแรม ฮาร์ดร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ (Hard Rock Hotel Maldives) ที่จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี และบริษัทยังมีแผนปรับเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ยในปีหน้าเป็นประมาณ 400 เหรียญสหรัฐต่อคืน และประมาณ 400-500 เหรียญสหรัฐต่อคืน ตามลำดับ ทำให้คาดว่าสัดส่วนรายได้จากโรงแรมทั้งสองแห่งจะอยู่ที่ราว 30-40% ของรายได้รวม

ขณะเดียวกัน บริษัทได้เพิ่มช่องทางการขายห้องพักผ่าน Online Travel Agents และในปีหน้าก็จะเริ่มขายผ่าน wholesale เพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างปรับปรุงโรงแรม เอาท์ทริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีชรีสอร์ท (Outrigger Laguna Phuket Beach Resort) โดยเพิ่มจำนวนห้องพักอีก 25 ห้อง และสร้างหอประชุมด้านหลังโรงแรมเพิ่มเติม ซึ่งจะสามารถรองรับจำนวนผู้เข้าใช้บริการได้ราว 350 คน และคาดจะมีการจัดประชุมหรืองานกิจกรรม (อีเว้นท์) ประมาณ 20-30 งานต่อปี คาดว่าจะเล้วเสร็จได้ในปี 63

รวมถึงปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม เอาท์ริกเกอร์ ฟีจี บีช รีสอร์ท ประเทศฟีจี (Outrigger Fiji Beach Resort) และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม เอาต์ทริกเกอร์ โคนอตตา มัลดีฟส์ รีสอร์ต (Outrigger Konotta Maldives Resort) และเพิ่มจำนวนห้องพักอีก 20 ห้อง

สำหรับในปีหน้าบริษัทยังมีแผนพัฒนาโรงแรมแบบ High-end lifestyle resort บนเกาะ 3 ของโครงการ Crossroads กับบริษัท Eco World Development กลุ่มธุรกิจใหญ่ (Conglomerate Business) จากประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนโดยมีสัดส่วนการถือหุ้นฝ่ายละ 50:50 โดยเบื้องต้นคาดใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 65

ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้าซื้อกิจการโรงแรมในประเทศที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว โดยวางงบลงทุนไว้ที่ราว 4,000-6,000 ล้านบาท และคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนไม่น้อยกว่า 12% ภายใต้เป้าหมายการซื้อกิจการ 7-8 แห่งต่อปี เพื่อเพิ่มจำนวนโรงแรมในเครือเป็น 80 แห่งภายในปี 68 จากปัจจุบันมีโรงแรมอยู่ทั้งสิ้น 39 แห่ง ซึ่งวงเงินลงทุนดังกล่าวส่วนหนึ่งจะมาจากเงินกู้ จากปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน D/E อยู่ที่ 0.4 เท่า หรือมีความสามารถในการกู้ยืมได้เพิ่มได้อีก 10,000-20,000 ล้านบาท

Back to top button