คงรอดได้ด้วยปัญญา

วันนี้มีคดีสำคัญ ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่ ไม่บ่ายแก่ ๆ หรือเย็นย่ำ ก็คงจะรู้ว่า พรรคการเมืองคนรุ่นใหม่พรรคนี้จะมีชีวิตรอดไหม


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

วันนี้มีคดีสำคัญ ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่ ไม่บ่ายแก่ ๆ หรือเย็นย่ำ ก็คงจะรู้ว่า พรรคการเมืองคนรุ่นใหม่พรรคนี้จะมีชีวิตรอดไหม

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองตั้งข้อสังเกตไว้น่าคิดว่าถ้าศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยช่วงเช้า ก็รอด แต่ถ้านัดบ่าย ก็คงจะอ่านคำวินิจฉัยกันยาว ส่วนใหญ่ร้อยละ 100 คือไม่รอด…ยุบพรรค!

โอ้อนิจจา! เดี๋ยวนี้เขาชั่งน้ำหนักคำพิพากษาว่าอ่านเช้าหรืออ่านเย็น โดยมิพักพิจารณาประเด็นหรือเนื้อหากันแล้วหรือเนี่ย

ถ้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ไปต่อ ก็ถือเป็นเรื่องดี จะได้ไม่มีรอยปริแตกเพิ่มขึ้นในแผ่นดิน แต่แม้ไม่รอด ผมก็ว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์ประท้วงลงถนนวุ่นวายอะไรหรอก

ต่อจากนี้ไป คงไม่มีการลงถนนชุมนุมยืดเยื้ออีกแล้ว อย่าได้วิตกจริตเกินเหตุกันเลย

สิ่งที่จะต้องคิดใคร่ครวญกันให้จงหนักและหาทางออกร่วมกันในเวลานี้ก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งปีนี้คงต้องยอมรับความจริงว่า เป็น “ปีเผาจริง” แน่นอน

แรงส่งทางเศรษฐกิจจากไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา อ่อนแรงมาก จีดีพีเติบโตแบบแผ่วเบาแค่ 1.6% ซึ่งแม้ไม่เจอปัญหาไวรัสโคโรนาตั้งแต่ต้นปี เศรษฐกิจก็อ่อนแอย่ำแย่อยู่แล้ว

ปัญหาไวรัสโคโรนา ก่อความสั่นสะเทือนไปทั่ว ธุรกิจท่องเที่ยวทั้งระบบตั้งแต่จำนวนนักท่องเที่ยว ธุรกิจการบิน โรงแรม-ที่พักร้างผู้คน กิจการรถเช่า-การท่องเที่ยว บริษัททัวร์เงียบเหงา มัคคุเทศก์ตกงาน และสถานบริการต่าง ๆ พังราบเป็นหน้ากลอง

บรรยากาศเศรษฐกิจวิเวกวังเวงเป็นอันมาก มันไม่เหมือนกับปี 2540 “ต้มยำกุ้ง” ที่เป็นปีเผาหลอก และเผาจริงปี 2541 เสียทีเดียว ที่ธุรกิจล้มครืนต่อหน้าต่อตาพร้อมกัน

แต่ปีเผาหลอก 2562 และเผาจริงปี 2563 มีลักษณะคล้าย “ไฟเย็น” ที่เด็กผู้ชายชอบเล่นกันสมัยเด็กมากกว่า นั่นคือ ธุรกิจไม่ล้มตายทีเดียว แต่มีลักษณะโงนเงนซื้อเวลา และก็ต้องล้มตายลงในที่สุด หากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันเวลา

โจทย์ใหญ่ที่ต้องคิดร่วมกันในเวลานี้ก็คือ ไวรัสโคโรนา จะจบการแพร่ระบาดได้ช้าหรือเร็ว และถ้าหยุดการแพร่ระบาดลงแล้ว เศรษฐกิจและธุรกิจจะฟื้นคืนกลับสู่ภาวะเศรษฐกิจได้อย่างไร

ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส จะจบช้าหรือจบเร็ว คงไม่มีใครทำนายได้ แต่เท่าที่ดูความเอาจริงเอาจังและการทุ่มเทแก้ปัญหาของทางการจีน รวมทั้งการป้องกันของนานาชาตินอกประเทศจีน สถานการณ์ดูดีขึ้น ที่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ตาย เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง

ยิ่งจบการแพร่ระบาดลงได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้นแน่นอน

แต่สิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไปไม่ว่าไวรัสโคโรนาจะหายช้าหายเร็ว ก็คือ แผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและธุรกิจ ที่ภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมกันฟันฝ่าให้เต็มที่

อะไรที่ทำมาแล้ว ไม่ได้ผล ผิดทิศผิดทางมาตลอด ก็ต้องยอมรับ และหาแนวทางทำใหม่เสีย

อาทิเช่น นโยบายลดแลกแจกแถม อันเป็นอภิมหาประชานิยม ยิ่งกว่ารัฐบาลใดในอดีต ที่ทำมาแล้วตั้งแต่ยุคยึดอำนาจยันยุคสืบทอดอำนาจกว่า 6 ปี ก็มีบทพิสูจน์แล้วว่า ไม่สามารถจะฟื้นฟูเศรษฐกิจขึ้นมาจริงได้

ยิ่งทำเงินก็ยิ่งไปกระจุกอยู่กับทุนใหญ่ เงินกระจายสู่ประชาชนเพียงน้อยนิด และเป็นการใช้ทรัพยากรของประเทศอย่างสิ้นเปลือง ควรต้องเอาทรัพยากรอันมีอยู่อย่างจำกัด ไปกระจายสู่ประชาชนโดยตรงจะดีกว่า

การลดภาษีต่างๆ จะทำให้ประชาชนมีเงินสดอยู่ในมือมากขึ้น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีอัตราจัดเก็บเป็นขั้นบันไดตั้งแต่ 5-10-15-20-25-30-35% ก็ควรจะซอยขั้นบันไดให้มีอัตราต่ำลง เช่นขั้นต่ำเป็น 3% และสูงสุดเป็น 20-25% ได้ไหม

ราคาน้ำมันก็น่าจะลดลงไปได้เลยลิตรละ 3 บาท จากการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งรัฐก็ยังเหลือรายได้อีกครึ่งหนึ่ง อันนี้เป็นการลดภาระค่าครองชีพประชาชนทุกระดับอย่างถ้วนหน้า และเพิ่มเงินในกระเป๋าโดยตรงมากที่สุด

แผนแม่บทการจัดการบริหารทรัพยากรน้ำ ที่ละเลยกันมากว่า 6 ปีที่ไม่ได้ทำอะไรกันเลย ก็ควรจะนำมาปฏิบัติจัดทำกันได้แล้ว แผนการเติมน้ำจากลุ่มน้ำหนึ่งโดยใช้อุโมงค์ส่งผ่าน อาทิ การเติมน้ำจากลุ่มน้ำสาละวินมาสู่แม่น้ำปิง หรือโครงการโขง-ชี-มูล และลุ่มน้ำอื่น ๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องที่ถูกละเลย ขอบอก!

สำหรับภาคเอกชน ก็ไม่น่าห่วงสักเท่าไหร่นัก มีบทเรียนกันมามากแล้วจากสมัยต้มยำกุ้ง โดยทั่วไปภาวะเช่นนี้ ใครยังฝันหวานขยายงานก็บ้า ควรถือเงินสดไว้กับบริษัทให้มากที่สุด และประคับประคองธุรกิจให้ยืนนานที่สุด

การลงทุนในหลักทรัพย์เสี่ยงเช่นตลาดหุ้น ก็ยิ่งมีความเสี่ยง ลงทุนได้แต่หุ้นที่มีปันผลดีเท่านั้น และบริษัทที่มีผลกำไรสะสมสูง ก็ควรจัดสรรมาเป็นเงินปันผลผู้ถือหุ้น เพื่อชดเชยกับราคาหุ้นที่ลดต่ำลง อันเป็นการรักษาศรัทธามหาชนไปในตัวด้วย

เรามาเจอวิกฤตยามยากกันอีกครั้ง แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก สติมา ปัญญาเกิด เหมือนกับที่เคยเจอะเจอตอนต้มยำกุ้งกันมา

Back to top button