ลุ้นผลงาน BANPU ปีนี้พลิกกำไร โบรกฯเคาะเป้า 9.20 บ. มองไตรมาส 1/63 ฟื้น

ลุ้นผลงาน BANPU ปีนี้พลิกกำไร โบรกฯเคาะเป้า 9.20 บ. มองไตรมาส 1/63 ฟื้น


นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานปี 63 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ หลังขาดทุนสุทธิที่ 552.86 ล้านบาท เป็นไปตามทุกธุรกิจเติบโตดีเข้ามาด้วย โดยเฉพาะการเข้าลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ ที่จะรับรู้ผลการดำเนินงานเข้ามาในปีนี้ และการขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด (Banpu NEXT)

ขณะที่ตั้งงบลงทุนปีนี้ 930 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น 90% หรือ 770 ล้านเหรียญสหรัฐ จะใช้ลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ในสหรัฐ และใช้สำหรับการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทน และที่เหลืออีก 10% หรือ 90 ล้านเหรียญสหรัฐ จะใช้ปรับปรุงเครื่องจักรในเหมืองต่างประเทศ

โดยปัจจุบัน ธุรกิจ BANPU ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานใน 3 ด้าน ประกอบด้วย ธุรกิจแหล่งพลังงาน ธุรกิจผลิตพลังงาน และธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ภายใต้กลยุทธ์ “Greener & Smarter” ด้วยการสร้างการเติบโตธุรกิจพลังงานสีเขียว โดยการเพิ่มสัดส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และการจัดตั้ง Banpu NEXT เพื่อพัฒนาและต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงาน

บริษัทคาดการณ์กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปีนี้จะมาจาก Greener & Smarter ราว 30-40% ตามการดำเนินธุรกิจของบริษัทร่วมทุน Banpu NEXT ที่ BANPU และบมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ถือหุ้นฝ่ายละ 50% โดยได้ตั้งเป้าภายในปี 68 จะขยายกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าประเภทพลังงานทดแทน (Renewable Energy) แตะ 1,100 เมกะวัตต์ จากปี 62 ที่ 300 เมกะวัตต์ ,ขยายกำลังการผลิตโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) เป็น 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่ 109 เมกะวัตต์, ขยายระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เป็น 1,400 เมกะวัตต์ จากปี 62 ที่ 500 เมกะวัตต์ ,ขยาย Electric Vehicles ,ขยาย Smart Cities และการขยาย Energy Trading เป็น 3,000 เมกะวัตต์

ส่วนการลงทุนเข้าซื้อแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ในมลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนธ.ค.62 ด้วยมูลค่า 770 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 23,907 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 20 อันดับแรกของสหรัฐอเมริกา และการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้นับได้ว่าอยู่ในช่วงเวลาและราคาที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีความเสี่ยงและมีต้นทุนการดำเนินการที่ต่ำ และช่วยยกระดับศักยภาพของบริษัท ให้มีพอร์ตทางธุรกิจที่หลากหลายตอบรับกับความต้องการในหลากหลายพื้นที่ ต่อยอดความเป็นผู้นำและศักยภาพในการบริหารทรัพยากรด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จากเดิมที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติ Marcellus ในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ มลรัฐเพนซิลเวเนียอยู่แล้ว

ทั้งนี้ การเข้าซื้อแหล่งก๊าซฯบาร์เนตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน เม.ย.63 คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาราว 400 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ซึ่งในปีนี้จะรับรู้ได้ประมาณ 8 เดือนครึ่ง และจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 6 ปี ขณะที่มีปริมาณสำรองการผลิตระยะยาวอย่างน้อย 16 ปี

สำหรับธุรกิจถ่านหิน บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายถ่านหินปีนี้ที่ 46.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 45.3 ล้านตันในปีก่อน ซึ่งจะมาจากเหมืองในออสเตรเลียราว 16.2 ล้านตัน , เหมืองออสเตรเลียราว 25.5 ล้านตัน และอีก 5 ล้านตันจะมาจากเหมืองในจีน โดยเหมืองอินโดนีเซียมีการขายล่วงหน้าไปแล้วกว่า 60% ซึ่งเป็นราคา Fix Price สัดส่วน 28% และอีก 32% เป็นราคาตามดัชนี ขณะที่ราคาถ่านหินเฉลี่ยปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/ตัน ใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 62

นางสมฤดี กล่าวอีกว่า ธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้บริษัทในปัจจุบันคือกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ซึ่งบริษัทจะไม่หยุดยกระดับการปรับปรุงคุณภาพและลดต้นทุน รวมทั้งพิจารณาถึงตลาดที่มีศักยภาพใหม่ ๆ อาทิ อินเดียและบังคลาเทศ ส่วนในกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานจะมุ่งหน้าสู่เป้าหมายการมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 5,300 เมกะวัตต์ ภายในอีก 5 ปี โดยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่เน้นประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในศักยภาพการสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอผ่านการพัฒนาโครงการในพอร์ตฟอลิโอให้ทันตามระยะเวลาที่กำหนด

ส่วนกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน บริษัทจะพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างสมาร์ทโซลูชั่นที่หลากหลายแบบครบวงจรและสามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

ด้าน บล.คิงส์ฟอร์ด กำหนดคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท คาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 1/63 ของ BANPU ว่าจะฟื้นตัวจากไตรมาส 4/62 จาก 1) รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า BLCP และ Hongsa เพิ่มขึ้นหลังกลับมาจากการปิดซ่อมบำรุง ขณะที่โรงไฟฟ้าในประเทศจีนยังอยู่ในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำสูง รวมถึงมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากการ COD ส่วนขยาย Luannan phase III 52 MWe และ Solar FarmKurokawa ในญี่ปุ่นอีก 18.9 MW เข้ามาเต็มไตรมาส

2) ค่าใช้จ่ายSG&A ลดลงจากไตรมาสก่อน 3) ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญทำให้มีโอกาสรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามยังมีแรงกดดันจากราคาถ่านหินที่ทรงตัวต่ำและปริมาณขายลดลงตามฤดูกาลที่เข้าสู่ฤดูฝนของอินโดนีเซีย ขณะที่ปริมาณก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอยู่ในภาวะล้นตลาดกดดันราคาก๊าซฯ ให้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

Back to top button