เปิดโผ SET50 วิ่งแรงในรอบ 5 เดือน! พร้อมชู 11 หุ้น “บลูชิพ” ต่ำบุ๊ก-เป้าซื้อคืนต่างชาติ

เปิดโผ SET50 วิ่งแรงในรอบ 5 เดือน! พร้อมชู 11 หุ้น “บลูชิพ” ต่ำบุ๊ก-เป้าซื้อคืนต่างชาติ


ภาวะตลาดหุ้นไทยล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้า โดยนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ 3 วันติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.-2 มิ.ย.63 รวมกว่า 8,900 ล้านบาท นับเป็นการซื้อสุทธิ 3 วันติดต่อกันครั้งแรกในรอบ 5 เดือน

ขณะเดียวกันล่าสุดดัชนี SET กลับมายืนเหนือระดับ 1400 จุด ได้อีกครั้ง เนื่องจากวานนี้(4 มิ.ย.63) มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นขนาดใหญ่นำโดยกลุ่มธนาคาร และคาดว่านักลงทุนจะหมุนเก็งกำไรไปยัง Sector อื่นๆ อาทิ กลุ่ม กลุ่มธุรกิจน้ำมัน, สื่อสาร และอสังหาฯ ที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก

เนื่องจากภาพรวมตลาดในช่วง 5 เดือนแรกปี 2563 ถือว่ายังเป็นขาลง โดยเห็นได้จากดัชนี SET ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 1579.84 จุด อ่อนตัวมาอยู่ที่ระดับ 1342.85 จุด ณ วันที่ 30 เม.ย.63 ลดลง 236.99 จุด หรือลดลง 15% เนื่องจากช่วงดังกล่าวได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นพื้นฐานแกร่งจนราคาปรับลงแรงเกินพื้นฐานหลายตัว

ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET50  ในช่วงดังกล่าวมานำเสนอเพื่อให้เห็นทิศทางและเป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งราคาถูกเข้าพอร์ต เนื่องจากช่วงนี้หุ้นขนาดใหญ่เริ่มเป็นเป้าหมายเงินทุนต่างชาติไหลเข้า โดยครั้งนี้ทำการเรียงลำดับข้อมูลราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมากสุดไปหาน้อยสุด โดยเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62-29 พ.ค.63 ตามตารารางประกอบดังนี้

ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลกลุ่ม SET50 ในช่วง 5 เดือน พบว่ามีหุ้น 9 ตัว ที่ปรับตัวสวนภาวะตลาดหุ้นติดลบ นำโดย CBG,CPF,GULF,OSP,DELTA,RATCH,TU,BJC,BGRIM ตัว แต่หากมองอีกด้านหุ้นทั้ง 41 ตัว เป็นหุ้นพื้นฐานแกร่ง และมีหลายตัวราคาต่ำกว่าพื้นฐาน

โดยเห็นได้จาก P/BV ที่ระดับ 1 เท่า และราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี อาทิ BBL,KBANK,SCB,TCAP,PTTGC,KTB,PTTEP,TOP,BANPU,TMB, IRPC ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อมูลให้นักลงทุนใช้พิจารณาในการตัดสินเพื่อเลือกสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งเข้าพอร์ตไว้ลงทุนในช่วงภาวะตลาดฟื้นตัวรอบใหม่ก็เป็นได้

 

ด้ายนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ (TISCO) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนี้ (YTD) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.9 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้า โดยนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ 3 วันติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.-2 มิ.ย.63 รวมกว่า 8,900 ล้านบาท นับเป็นการซื้อสุทธิ 3 วันติดต่อกันครั้งแรกในรอบ 5 เดือน

จากการตรวจสอบเงินทุนต่างประเทศ (Foreign Funds Inflow) ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้มีทิศทางเป็นบวกเกือบทุกตลาดเหมือนประเทศไทย โดยในสัปดาห์นี้ (WTD) เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสุทธิแล้วกว่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นการไหลเข้าสูงสุดในรอบ 22 สัปดาห์ หรือประมาณ 6 เดือน โดยเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียมากที่สุด 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามด้วยตลาดหุ้นไต้หวัน และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 178 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ

ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียมีเม็ดเงินไหลเข้า 166 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลาดหุ้นไทยมีเม็ดเงินไหลเข้า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์มีเม็ดเงินไหลเข้า 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  มีเพียงตลาดหุ้นมาเลเซียเท่านั้นที่มีเม็ดเงินไหลออก 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับสาเหตุที่เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาซื้อหุ้นในภูมิภาคนี้อีกครั้ง มองว่าเป็นผลจากนักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลัง จากการทยอยคลายล็อกดาวน์ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และสภาพคล่องในระบบที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางหลักในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนกลับมาแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น (Search for Yield)

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติ มองควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1. เป็นหุ้นขนาดใหญ่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ซึ่งจะให้ความสำคัญกับหุ้นที่อยู่ใน SET100 และ MSCI Global Standard Index 2. เป็นหุ้นที่ต่างชาติลดการถือครองลงในปีนี้ (Under-owed) เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้ว และที่สำคัญเพิ่งเริ่มมีสัญญาณบวกจากแรงซื้อต่างชาติเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญสัปดาห์นี้ และ 3. ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไม่แพง โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังมีโอกาสปรับขึ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน

จากการพิจารณาหุ้นตามเกณฑ์คุณสมบัติทั้งหมดข้างต้น มองหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติ คือ SET50 แนะนำ ADVANC (คำแนะนำ “ซื้อ”, เป้าพื้นฐาน 208 บาท), BDMS (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 25 บาท), CPALL (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 86 บาท), KBANK (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 118 บาท), PTTGC (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 55 บาท), SCB (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 96 บาท) และ SCC (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 372 บาท) และ SET100 แนะนำ CK (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 23.8 บาท), STEC (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 22 บาท)

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button