PRM เสริมกำลังธุรกิจ

นักวิเคราะห์ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อ PRM หลังบริษัทมีการอนุมัติให้บ.ย่อยอย่าง บริษัท ภูริช มารีน เข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมด 100% ในบริษัท TM


คุณค่าบริษัท

นักวิเคราะห์ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM หลังบริษัทมีการอนุมัติให้บ.ย่อยอย่าง บริษัท ภูริช มารีน เข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมด 100% ในบริษัท ไทยออยล์มารีน (TM) ในราคาซื้อขายเบื้องต้นที่ 346.50 ล้านบาท จากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)

สำหรับธุรกิจของบริษัท ไทยออยล์มารีน ประกอบด้วย 1.ธุรกิจขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมี 2) ธุรกิจขนส่งน้ำมันดิบ 3) ธุรกิจบริหารจัดการเรือหรือตัวแทน และ 4) ธุรกิจเรือสนับสนุนงาน Offshore

ทั้งนี้ หลังจากที่ PRM เข้าซื้อในบริษัทไทยออยล์มารีน (TM) จะได้ประโยชน์จากดีลนี้ คือ ได้รับงานใหม่เพิ่มจาก TOP ได้แก่ 1) บริการเรือขนส่งน้ำมันดิบขนาดใหญ่ (VLCC) จำนวน 3 ลำ ระยะเวลา 10 ปี 2) บริการเรือขนส่งน้ำมันขนาดเล็ก 3 ลำ เป็นระยะเวลา 5 ปี และ 3) บริการในการเป็นตัวแทนเรือ (Ship Agent) เป็นระยะเวลา 5 ปี

พร้อมทั้ง PRM ได้รับเรือใหม่เพิ่มทันที 18 ลำ (จากปัจจุบัน PRM มีเรือทั้งหมด 40 ลำ) โดยจากเรือ 18 ลำใหม่ จะแบ่งเป็นธุรกิจ Offshore จำนวน 13 ลำ และเรือขนส่งน้ำมันในประเทศจำนวน 5 ลำ เพื่อตอบรับแนวโน้มระยะยาวจะเติบโตดีจากการรับงานใหม่จากการปิดดีลดังกล่าว

นอกจากนี้ PRM จะต้องมีการจัดหาเรือใหม่เพิ่ม ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบการเช่า/ซื้อ โดยประเมินว่าจะเริ่มให้บริการภายในปี 2564 จำนวน 1 ลำ และปี 2565 เพิ่มอีกจำนวน 2 ลำ ซึ่งหลังจากรับเรือใหม่ครบ 3 ลำ จะส่งผลให้ PRM ประเมินรายได้จากธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศในปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปี 2563 ที่ 3%

ขณะเดียวกัน ประเมินเรือ VLCC จะมีกำไรไม่ต่ำกว่า เรือ Aframax ที่ PRM ให้บริการปัจจุบันที่มีกำไรสุทธิราว 50-70 ล้านบาท/ปี (เรือ Aframax มีขนาด 1 แสนเดทเวทตัน ส่วนเรือ VLCC จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนเดทเวทตัน) ส่วนเรือขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ จะเริ่มเห็นผลบวกที่ชัดเจนในปี 2565

อย่างไรก็ดี ทางบล.เคทีบี ยังประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 1.7 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) และปี 2565 ที่ 1.9 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) แต่หากรวมงานใหม่จาก TOP ที่ส่วนใหญ่จะเติบโตจากธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ ประเมินว่าจะช่วยเพิ่มกำไรในปี 2564-2565 ได้อีกไม่ต่ำกว่าราว 50 ล้านบาท และ 250 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นของกำไรสำหรับปี 2564-2565 อีกเพิ่มขึ้น 3% และเพิ่มขึ้น 13% คิดจากสมมติฐานต้นทุนการเช่า/ซื้อเรือ VLCC ที่ราคาปัจจุบัน โดยยังไม่ได้รวมกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้ในประมาณการจนกว่าจะทราบรายละเอียดของต้นทุนเรือใหม่

ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 12 บาท/หุ้น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท นทลิน จำกัด 1,354,999,800 หุ้น 54.20%
  2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 171,040,525 หุ้น 6.84%
  3. Kimberly Asset Limited 82,000,000 หุ้น 3.28%
  4. AUSTIN ASSET LIMITED 53,510,000 หุ้น 2.14%
  5. UOB KAY HIAN PRIVATE LIMITED 30,156,400 หุ้น 1.21%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ, กรรมการตรวจสอบ
  2. นายพร้อมพงษ์ ชัยศรีสวัสดิ์สุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, ประธานคณะกรรมการบริหาร, กรรมการ
  3. พล.ร.อ.นิพนธ์ จักษุดุล รองประธานกรรมการ
  4. นายสุรพล มีเสถียร กรรมการ
  5. นายสุรศักดิ์ ใจเย็น กรรมการ

Back to top button