“กสิกรฯ” จับตาโควิดรอบใหม่ ชี้หากคุมได้เร็วกระทบจีดีพีน้อย ไม่กังวลหนี้สาธารณะชนเพดาน

“ศูนย์วิจัยกสิกรฯ” จับตาโควิดรอบใหม่ ชี้หากคุมได้เร็วกระทบจีดีพีน้อย ไม่กังวลหนี้สาธารณะชนเพดาน


นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการระบาดโควิด-19 ในรอบแรก และการระบาดระลอกใหม่ มีอยู่ 3 ประเด็น คือ

1.จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูงกว่า

2.การกระจายของผู้ติดเชื้อเป็นแบบวงกว้าง

3.ต้นตอของการระบาดเกิดจากภาคอุตสาหกรรม

ขณะที่มาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดก็แตกต่างออกไปด้วย โดยเป็นการล็อกดาวน์ที่ไม่ล็อกดาวน์ ซึ่งเป็นการล็อกดาวน์บางส่วน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างผลกระทบทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางสาธารณสุข แต่อย่างไรก็ตามจำนวนของผู้ติดเชื้อรายวันยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามว่าจะลดลงหรือจบภายใน 60 วันหรือไม่ ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบนี้จบได้เร็ว การเติบโตภายในประเทศในปีนี้ก็คงจะลดลงไม่มากจากที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ที่ 2.6%

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐจะปล่อยออกมาเพื่อช่วยเหลือ ความสนใจยังพุ่งไปที่มาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค ที่ส่งผลให้การค้าขายไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ปัญหาที่เกิดในช่วงนี้คือรายได้ไม่เพียงพอ ในขณะที่มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่าง “เราเที่ยวด้วยกัน” “ช้อปดีมีคืน” และ “คนละครึ่ง” ยังดำเนินควบคู่ไปด้วย โดยภาครัฐยังมีเม็ดเงินกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูอย่างแน่นอน อีกทั้งธนาคารมองว่ามาตรการภาครัฐยังมีความจำเป็นเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจเช่นเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก แม้ว่าหนี้สาธารณะจะมีโอกาสชนเพดานที่ 60% ของ GDP ก็ยังไม่น่ากังวล เพราะสามารถขยับกรอบได้ แต่ก็ต้องมีแผนที่จะลดภาระหนี้ลงในระยะกลางถึงยาว

ส่วนความคืบหน้าของวัคซีนโควิด-19 ที่ภาครัฐได้จัดซื้อวัคซีนจากจีนและอังกฤษจำนวน 28 ล้านโดสไว้แล้ว ซึ่งครอบคลุมประชากร 14 ล้านคน โดยในล็อตแรกนี้จะเริ่มทยอยฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มเสี่ยงก่อน และวางแผนซื้อเพิ่มอีก 35 ล้านโดส ซึ่งหากวัคซีนได้ผลดี และมีการทยอยฉีดจนครบในสิ้นปี 64 ถึงต้นปี 65 จะทำให้ ประชากรไทยเกือบครึ่งหนึ่งจะได้รับวัคซีน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของคนในประเทศสูงขึ้น ภาคธุรกิจจะทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะการท่องเที่ยว แต่การฟื้นตัวจะยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 65 ได้อย่างเร็ว เพราะภาคท่องเที่ยวจะยังค่อยๆกลับมาฟื้นตัว หลังจากแนวโน้มการเดินทางระหว่างประเทศยังต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี เป็นอย่างน้อยกว่าจะกลับมาฟื้นตัวชัดเจนขึ้น

นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สำหรับตัวเลขหนี้ภาคเอกชน หรือหนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 3/63 อยู่ที่ราว 86.6% ของ GDP ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นกว่า 91% ณ สิ้นปี 64 สำหรับตัวเลขหนี้ที่สูงขึ้นเกิดขึ้นในหลายประเทศ จากการที่ GDP หดตัวหรือโตต่ำ และหนี้ไม่ได้ลดลงเพราะมีมาตรการช่วยเหลือ เพียงแต่โจทย์เฉพาะหน้ายังเป็นการช่วยลูกหนี้ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องจากปัญหาโควิด-19 อย่างไรก่อน

โดยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินกำลังพิจารณาอยู่ และสามารถต่ออายุมาตรการให้ความช่วยเหลือได้ เช่น การพักชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เคยเข้าโครงการนี้มาแล้วได้ถึงกลางปี 64 รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารมองว่ามีโอกาสที่จะลดจาก 0.5% ลงมาเหลือ 0.25% หากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่จะต้องลดดอกเบี้ยไปจนถึง 0% เพราะธปท.ยังมีแนวทางอื่นๆ นอกเหนือจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อนำไปสู่การลดภาระต้นทุนทางการเงินให้กับธุรกิจ ขณะที่การฝากเงินที่ไม่ได้ดอกเบี้ยหรือต้องเสียเงินให้ธนาคารในการฝากเงินยังไม่เหมาะกับประเทศไทยในเร็ววันนี้

Back to top button