พาราสาวะถี

อรชุน

สถานการณ์โควิดระลอกสาม คงต้องยอมรับสภาพเหมือนที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลั่นวาจาด้วยความหงุดหงิดกระมัง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะดูแล้วแนวโน้มของคลัสเตอร์สถานบันเทิงย่านทองหล่อรอบนี้ไม่เหมือนการระบาดในรอบแรก ทั้งด้วยจำนวนคนที่ติดเชื้อและการแพร่กระจาย สิ่งสำคัญคือตัวเชื้อที่นำไปแพร่ที่พบเป็นสายพันธุ์อังกฤษ ซึ่งว่ากันว่ามีความรวดเร็วในการแพร่กระจายได้ถึง 100 เท่าเลยทีเดียว จึงเป็นโจทย์สำคัญสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขว่าจะรับมือกับการระบาดระลอกนี้อย่างไร

สำหรับคำตอบของคำถามที่ว่าแล้วสายพันธุ์ผู้ดีนั้นมาได้อย่างไร ไหนว่ามีระบบป้องกันที่ดี เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจ เป็นอย่างคำตอบที่ได้จาก นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.ที่บอกว่า ยังไม่มีคำตอบในช่วงเวลาตอนนี้ ทีมสอบสวนโรค กรมควบคุมโรค จะลงไปหาเหตุให้ได้ ซึ่งจากเดิมมีระบบผู้เดินทางมาจากต่างประเทศจะมีสถานที่กักกันดูแล แต่นี่เข้ามาถึงในระดับใจกลางเมืองเกิดขึ้นได้อย่างไร จะเป็นทฤษฎีเก่าที่อยู่ครบการกักกันแล้วหรือลักษณะของโรคอยู่มากกว่า 14 วัน หรือกรณีอื่น ๆ เหล่านี้จะมีการหารือและหาคำตอบขึ้นมา

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์มันดำเนินมาถึงขั้นนี้จากที่ยังสงวนท่าทีเรื่องการยกระดับมาตรการควบคุมนั้น ล่าสุด ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินหรืออีโอซี กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอผ่านที่ประชุมศบค.ชุดเล็กเพื่อรายงานให้ท่านผู้นำในฐานะผู้อำนวยการศบค.พิจารณาให้ปิดสถานบริการ สถานประกอบการ ที่มีลักษณะคล้ายสถานที่บริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ และสถานประกอบกิจการอาบ อบ นวด อย่างน้อยเป็นเวลา 14 วัน หรือจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ทั้งนี้ จะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมศบค.ชุดเล็กอีกครั้งในวันที่ 9 เมษายนนี้เพื่อพิจารณา และเสนอผู้อำนวยการศบค.ลงนาม โดยมาตรการดังกล่าวจะใช้กับจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อในสถานบันเทิงและจังหวัดใหญ่ที่เป็นทางผ่านและมีสถานบันเทิงจำนวนมาก รวมทั้งสิ้น 41 จังหวัด แน่นอนว่า แม้ที่ประชุมยังจะไม่ได้มีมติออกมา และยังไม่มีผลบังคับใช้ แต่การสื่อสารของโฆษกศบค.เพื่อประกาศให้ผู้ประกอบการทั้งหลายที่อยู่ใน 41 จังหวัดดังว่าได้รับทราบเบื้องต้น

คงต้องยอมรับสภาพกันแต่โดยดี เรื่องความหวังที่จะเห็นเม็ดเงินหมุนเวียนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็คงต้องจบไปโดยปริยาย เห็นได้จากยอดยกเลิกการจองสถานที่พัก รวมถึงการคืนตั๋วโดยสารในการเดินทางแทบจะทุกประเภทพุ่งสูงจนน่าใจหาย แม้ว่าทางอีโอซีไม่มีการเสนอให้ปรับระดับพื้นที่ หรือปรับสีพื้นที่ เพราะจะกระทบต่อการวางแผนการเดินทางของประชาชนและผู้ประกอบการที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่คนที่จะเดินทางส่วนใหญ่ก็คงไม่มีใครกล้าไปเสี่ยงเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่

ขณะเดียวกัน จะเห็นได้ว่าแต่ละจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัดโดยมติของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ก็ได้ออกประกาศแทบจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ คนที่เดินทางมาจาก 5 จังหวัด อันประกอบไปด้วย กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี และนครปฐม จะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ถามว่ายังจะมีใครกล้าเดินทางกันอีกไหม

ในส่วนของความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ต้องไปเรียกร้องถามหาจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพราะประกาศแล้วว่าจะสู้กับสิ่งที่เผชิญอยู่ในเวลานี้แม้จะต้องตายก็ยอม เรื่องวัคซีนที่วิพากษ์วิจารณ์กันในแง่ของความล่าช้าต่อการเข้าถึงก็เช่นเดียวกัน เปล่าประโยชน์ เมื่อกระต่ายขาเดียวกันมาตั้งแต่ต้น กระบวนการที่ได้ทำมาไม่ล่าช้า ทุกอย่างเป็นไปตามแผน คงต้องยึดตามนั้น เหมือนกรณี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่ติดโควิดก็เพิ่งได้รับวัคซีนไปเข็มเดียว ถามว่าถ้าดำเนินการเร็วกว่านี้ ผลที่ตามมาอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้

ชัดเจนอีกเช่นเดียวกันว่า การระบาดในระลอกสามนั้น จะหนักหน่วงกว่าสองระลอกที่ผ่านมา เพราะในการประชุมของกระทรวงสาธารณสุข มีการหารือร่วมกับหน่วยงาน โรงพยาบาลในสังกัดของมหาวิทยาลัย พบว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมานี้ สร้างความแออัดเกิดขึ้นแล้วในโรงพยาบาล ทั้งการขอรับการตรวจมากขึ้น การพบผู้ป่วยในจำนวนที่มากขึ้น ใช้เตียงมากขึ้นทั้งในภาครัฐและเอกชน จึงจำเป็นต้องวางมาตรการรองรับโดยด่วน

โดยที่ประชุมได้มีการเตรียมแผนไว้ 3 ประการก็คือ ถ้าเตียงไม่พอ ขอขยายเตียงที่อยู่ในแต่ละโรงพยาบาลให้เพิ่มขึ้นทั้งรัฐและเอกชน  ถ้าไม่พอก็จะเปิดมาตรการของการใช้สถานการกักกันในโรงพยาบาลทางเลือกหรือ  Alternative Hospital Quarantine ที่เป็นโรงแรมต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในระบบ และให้โรงพยาบาลไปประกบ เพราะอย่างที่เห็นว่าส่วนใหญ่อาการไม่มาก อาการน้อยให้ไปนอนที่โรงแรมที่จะสามารถให้การบริการในลักษณะทางการแพทย์ได้

ประการสุดท้ายคือ เตรียมการเรื่องของโรงพยาบาลสนาม เนื่องจากขณะนี้หลายจังหวัดพบว่ามีการแพร่กระจายของโรคในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะฉะนั้นจังหวัดต่าง ๆ จึงเริ่มมีการจัดเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ นี่คือการประเมินสถานการณ์ในมุมของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับผิดชอบเรื่องการระบาดของโควิดเป็นด้านหลัก เมื่อเป็นไปในลักษณะนี้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะผู้อำนวยการศบค.คงไม่มีทางเลือกอื่น ต้องยอมดำเนินการตามเพื่อให้ทันต่อการป้องกันและรับมือสถานการณ์ที่รุนแรงในอนาคตอันใกล้

การแพร่ระบาดของโควิดรอบนี้เห็นได้ชัดว่ากระจายเป็นวงกว้างและน่ากังวลเป็นอย่างมาก เพราะมีทั้งรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ แพทย์ อัยการ ตำรวจ แม้กระทั่งวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรก็ไม่เว้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผลไปถึงการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 7-8 เมษายนที่ต้องเงียบไปโดยปริยาย เรื่องของร่างกฎหมายประชามติจึงต้องสะดุดไปตามระเบียบ สุดท้าย ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ต้องจำใจสั่งปิดการประชุมไปตามระเบียบ มาถึงนาทีนี้ เรื่องการเมืองคนส่วนใหญ่คงไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจ เพราะทุกคนต่างเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยด้านสุขภาพกันมากกว่า