SNNP ตั้ง “บล.ไทยพาณิชย์” ลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์ เคาะช่วงราคา IPO กรอบ 8.70-9.20 บ.

SNNP แต่งตั้ง “บล.ไทยพาณิชย์” ลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์ เคาะช่วงราคา IPO กรอบ 8.70-9.20 บ. เปิดนักลงทุนรายย่อยจอง IPO วันที่ 7 - 9 ก.ค. นี้


นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้สร้างเทรนด์ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมายาวนานกว่า 30 ปี บริษัทฯ มีแบรนด์พอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ประกอบด้วย เจเล่ คูลลี่คูล ไดยาโมโตะ ฮีโร่บอยส์ และอควาวิตซ์ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ประกอบด้วย เบนโตะ ทาโกะ โลตัส ช๊อคกี้ และเบเกอรี่เฮาส์

โดยบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์มุ่งเน้นความเป็นเลิศทั้งในด้านคุณภาพและการบริการ รวมถึงการสร้างแบรนด์ให้เป็นหนึ่งในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเข้าถึงผู้บริโภคในทุกช่วงเวลาและโอกาสในการบริโภค ภายใต้ทีมวิจัยและพัฒนาที่มีความมุ่งมั่นสร้างสรรค์สินค้าใหม่ที่มีความหลากหลาย ตลอดจนมีระบบการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม อีกทั้งยังมีฐานการผลิตและการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้าหมายสร้างรายได้แตะ 8,000 ล้านบาท ภายในปี 2569

การระดมทุนครั้งนี้จะทำให้ SNNP เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยต่อยอดแบรนด์สินค้าและแบรนด์พอร์ตโฟลิโอให้หลากหลายเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละประเทศ  (Localization) รวมถึงสร้างความได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตและระบบกระจายสินค้าที่ครอบคลุมในภูมิภาค CLMV  ซึ่งจะช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ SNNP ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวแห่งอาเซียน” นายวิวรรธน์ กล่าว

ส่วน นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ กล่าวว่า กลยุทธ์ทางการตลาด บริษัทฯ จะต่อยอดแบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดและมีศักยภาพ อาทิ เจเล่ เบนโตะ เมจิกฟาร์ม โลตัสขาไก่ และเครื่องดื่มอควาวิตซ์ ฯลฯ และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความหลากหลาย รวมทั้งพัฒนารสชาติ ขนาดและราคา ให้เหมาะกับเทรนด์การบริโภคและกำลังซื้อในแต่ละประเทศ (Localization) ซึ่งจะสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูงขึ้น

นอกจากนี้ SNNP มุ่งสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่าย โดยดำเนินกลยุทธ์ในการกระจายสินค้าตามช่องทางหลัก ได้แก่ ค้าส่ง ค้าปลีก ช่องทางโมเดิร์นเทรด ออนไลน์ และเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริหารและพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทางการจัดจำหน่าย พร้อมทั้งส่งเสริมกลยุทธ์การขายและบริหารพื้นที่จัดจำหน่ายในแต่ละช่องทาง

รวมถึงได้จัดตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า ได้แก่ บริษัท สิริ โปร จำกัด ซึ่งมีทีมผู้บริหารและทีมขายที่มีประสบการณ์และความสามารถในการกระจายสินค้าให้กับบริษัทฯ โดยปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้า 11 แห่ง ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย ซึ่งสามารถกระจายสินค้าถึงกลุ่มร้านค้าทั้งค้าปลีกกว่า 70,000 ร้านค้า และร้านค้าส่งกว่า 3,600 ร้านค้า ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันให้กับบริษัทฯ

ด้าน นายฐากร ชัยสถาพร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจต่างประเทศ กล่าวว่า ธุรกิจของบริษัทฯ มีศักยภาพที่จะเติบโตในภูมิภาค CLMV ได้อีกมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตของตลาดสูง โดยมีรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของกลุ่มประชากรที่เป็นชนชั้นกลางวัยหนุ่มสาว ประกอบกับมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ปัจจัยเหล่านี้ผลักดันให้การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มแบบพร้อมรับประทานขยายตัวมากขึ้น โดยกลยุทธ์ทางการตลาด บริษัทฯ จะต่อยอดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวที่เป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย โดยบริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อยในกัมพูชา ได้แก่ S.C Food Products Co., Ltd. STVV Development Co., Ltd. และ S.C Food Trading Co., Ltd. ปัจจุบันโรงงานก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย

ขณะที่ประเทศเวียดนาม บริษัทฯ มีแผนเข้าลงทุนผ่าน S.T. Food Marketing Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อผลิตขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเยลลี่สำเร็จรูปและจัดจำหน่ายในประเทศเวียดนาม โดยได้เริ่มก่อสร้างโรงงานแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จและผลิตสินค้าในปี 2565 ในเฟสแรก ซึ่งเฟสสองจะแล้วเสร็จในปี 2566 ทำให้บริษัทฯ มีฐานการผลิตทั้งในประเทศไทย กัมพูชา และเวียดนาม จำนวน 6 แห่ง ครอบคลุมประชากรกลุ่มประเทศ CLMV+T รองรับกับความต้องการของตลาดที่มีประชากรกว่า 250 ล้านคน และยังเป็นฐานการผลิตส่งออกสินค้าไปตลาดอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ส่งออกไปยัง 5 ทวีป รวมกว่า 35 ประเทศทั่วโลก

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศจีนและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ลงทุนในการสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้บริโภค และขยายประสิทธิภาพในช่องทางการจัดจำหน่าย เสาะหาแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการผลิตให้แก่กลุ่มบริษัทฯ

ขณะที่ นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบัญชีและการเงิน กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการลงทุนมากกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต สร้างฐานการผลิตและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งและมั่นคงทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนลงทุนระบบไอทีและนำ Data เข้ามาช่วยวิเคราะห์ตลาดได้อย่างแม่นยำ  และด้วยศักยภาพทางธุรกิจที่บริษัทฯ วางไว้อย่างแข็งแกร่ง จะผลักดันให้ผลดำเนินงาน SNNP  เติบโตอย่างยั่งยืน โดยวางเป้าหมายการเติบโตประมาณ 2 เท่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2564-2569)

สำหรับการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูง แม้เผชิญปัจจัยลบจาก Covid-19 โดยมีรายได้รวม 1,239 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขาย 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 172 ล้านบาท เป็นการทำกำไรเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 นับจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงาน ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่ปี 2563

โดยต้นทุนขายต่อรายได้อยู่ที่ 73.7% ลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริการต่อรายได้อยู่ที่ 20% หรือลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ กำไรสุทธิดังกล่าวมีรายการพิเศษจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินลงทุนในบริษัทย่อยรวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น 128 ล้านบาท

ด้าน นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ของ SNNP เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 8.70 – 9.20 บาทต่อหุ้น และเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อในวันที่ 7 – 9 กรกฎาคม ที่ราคา 9.20 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น 

พร้อมกับทำการสำรวจความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ซึ่งคาดว่าจะประกาศให้ทราบได้ภายในวันที่ 12 กรกฎาคม อย่างไรก็ตาม หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาจองซื้อ จะดำเนินการคืนเงินจองซื้อแก่นักลงทุนรายย่อยต่อไป โดยบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ 5 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย  บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด  และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ส่วนนักลงทุนสถาบันจะจองซื้อในวันที่ 12 – 14 กรกฎาคม ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย

โดยปัจจุบัน SNNP มีทุนจดทะเบียน 480 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 960 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท  โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 360 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 240 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนจะส่วนหนึ่งจะนำไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม อีกส่วนหนึ่ง จะนำไปชำระเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และส่วนสุดท้าย ก็จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ

 

Back to top button