เปิด 8 หุ้นส่งออก ลุ้นราคาทะยานต่อ รับอานิสงส์บาทอ่อนค่า

เปิด 8 หุ้นส่งออก ลุ้นราคาทะยานต่อ รับปัจจัยบวกบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ได้แก่ KCE, EPG, TU, NER, XO, CBG, ASIAN, HANA


นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้าอยู่ที่ 32.68 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 32.62 บาท/ดอลลาร์ หลังดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตลาดรอดูผลประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB)

“บาทอ่อนค่าตามตลาดโลก ตลาดมีความผันผวนมาก บิตคอยน์ร่วง ราคาทองลดลงกว่า 30 ดอลลาร์ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” นักบริหารเงิน กล่าว

ทั้งนี้นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.60 – 32.80 บาท/ดอลลาร์

THAI BAHT FIX 3M (7 ก.ย.) อยู่ที่ระดับ 0.33575% ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ระดับ 0.32453%

SPOT ล่าสุด อยู่ที่ระดับ 32.78000 บาท/ดอลลาร์

อนึ่งจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่านั้นได้ส่ง Sentiment เชิงบวก ให้แก่หุ้น บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE, บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU, บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER, บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG, บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA

อย่างไรก็ดีในวันนี้ (8 ก.ย.2564) ราคาหุ้นที่วิ่งรับเงินบาทอ่อนค่านำทีมโดย ASIAN TU ซึ่งทางด้านบล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ASIAN ขยายกำลังการผลิตของธุรกิจ Pre-fried กว่า 2 พันตันต่อปี เพิ่มขึ้น 26% ทางด้านอาหารสัตว์เลี้ยง Demand ดี จ่อเพิ่ม Line การผลิต 1 Line ในปี 2564 และ 3 Line ในปี 2565 ประกอบกับเงินบาทกลับมามีแนวโน้มอ่อนค่า หนุนกลุ่มส่งออก, ธุรกิจอาหารยังเติบโตได้ต่อ Demand ทั่วโลกค่อยๆ ฟื้นตัว ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยได้ประเมินกำไรปี 2564 ที่ 1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 ที่ 1.10 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มอง TU เป็น Innovative Company ไม่ใช่เพียง Tuna Company อีกต่อไป ภายหลังเห็นทิศทางและกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการมุ่งสู่ Innovative Product สำหรับคนและสัตว์เลี้ยง จนเริ่มเห็นสัดส่วนรายได้กลุ่มนี้ทยอยสูงขึ้น ช่วยให้บริษัทลดการพึ่งพิงรายได้จากทูน่า คาดกำไรปี 2564 เพิ่มขึ้น 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 เพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

อีกทั้งจะมีการปลดล็อคมูลค่าแฝงของบริษัทลูกการ Spin-Off ธุรกิจอาหารสัตว์เศรษฐกิจในไตรมาส 4/2564 และอาหารสัตว์เลี้ยงในไตรมาส 3/2565 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการลงทุนภายใต้แนวคิด ESG ซึ่ง TU เป็นบริษัทแรกในกลุ่มอาหารที่ได้เตรียมความพร้อมมานานกว่า 8 ปี และเริ่มเห็นผลบวกที่เป็นรูปธรรมแล้ว จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 30 บาท

ส่วนบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ก็ระบุว่า TU ทำกำไรดีต่อเนื่อง แนวโน้มธุรกิจสำหรับในงวดครึ่งหลังปีนี้ยังมีความมั่นคงสูง แรงสนับสนุนมาจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและธุรกิจ Red Lobster บริษัทมีการลงทุนธุรกิจอาหารด้านนวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมและต่อเติมภาพการเติบโตในระยะยาวได้เป็นอย่างดี สำหรับราคาพื้นฐานเป็น 24.70 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 2565 ที่ระดับ 14 เท่า

 

Back to top button