“สุพัฒนพงษ์” เตรียมละเลงงบ 4 แสนลบ. หวังกระตุ้นศก. ปลายปีฟื้นแรง

“สุพัฒนพงษ์” มั่นใจเศรษฐกิจปี 64 โตเป็นบวก แย้มรัฐบาลเตรียมเงินราว 4 แสนล้าน สนับสนุนมาตรการด้านเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูในระยะต่อไปได้


นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ เศรษฐกิจไทยใครชี้ชะตา ในงาน TNN Virtual Seminar ว่า เศรษฐกิจไทยหลังมาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ที่มีผล 1 ก.ย.นี้เป็นต้นไปจะมีแนวโน้มที่ค่อยๆ ฟื้นตัวมากขึ้นจากปัจจัยสำคัญ คือ การจัดหาวัคซีนเพื่อฉีดให้คนไทยที่รัฐบาลวางไว้ที่จะครบ 50 ล้านคนในเดือน ต.ค.นี้ และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงสิ้นปี ประกอบกับการส่งออก การลงทุน ยังคงเติบโตต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะโตเป็นบวกได้แต่อาจไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ในช่วงต้นปีว่าจะเติบโต 3-4% เนื่องจากไทยยังต้องเผชิญหลุมดำรายได้ที่ขาดไปจากการท่องเที่ยว

โควิด-19 ได้รับผลกระทบทั่วโลก ไทยเองเผชิญมาตั้งแต่ปี 2563 เป็นเวลา 18 เดือนที่ทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันมา และวันนี้ต่างจาก เม.ย. ปี 63 ที่เราไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 แม้จะไม่ได้ลดการติดเชื้อมากแต่ลดการสูญเสียได้ชัดเจน หากเรารักษาระดับการติดเชื้อที่ไม่ให้เพิ่มขึ้นทุกอย่างก็จะค่อยๆ ฟื้นเศรษฐกิจไตรมาส 3-4 เรายังโตได้ต่อ ดังนั้นเศรษฐกิจไทยคนที่ชี้ชะตาไม่ใช่รัฐ เอกชน ประชาชน แต่เป็นทุกคน และผมเชื่อว่าเราจะผ่านไปได้ด้วยดีด้วยความร่วมมือเช่นวิกฤตที่ผ่านๆ มา” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เมื่อ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่าการอุปโภคบริโภคภายในประเทศของประชาชนดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังคงมีไว้ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคต่อเนื่อง เช่น “คนละครึ่ง” “เราเที่ยวด้วยกัน” หลังสถานการณ์ผ่อนคลายก็เชื่อว่าจะนำกลับมาใช้ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันภาครัฐยังพร้อมที่จะเติมเงินลงไปสู่ระบบผ่านมาตรการอื่นๆ ที่รัฐบาลเตรียมไว้ซึ่งขณะนี้มีเงินราว 4 แสนล้านจาก พ.ร.ก.เงินกู้เดิม จึงขอให้มั่นใจว่ารัฐพร้อมสนับสนุนมาตรการด้านเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปได้

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการที่ไทยมีวัคซีนที่จะฉีดให้ประชาชนเพิ่มขึ้นแล้ว หากพิจารณาสัญญาณการลงทุนที่มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) 6 เดือนแรกปี 2564 คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 386,200 ล้านบาท สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 158% หากประคับประคองที่เหลือให้ดีการขอรับส่งเสริมฯ อาจจะสูงถึงระดับ 600,000 ล้านบาทได้ และจะนับเป็นตัวเลขที่อาจสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับภาคการส่งออกของไทยที่ปีนี้ภาพรวมจะมีโอกาสส่งออกขยายตัวมากกว่า 10%

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องรอคอยคือรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการที่มีสัดส่วนสำคัญต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ไทยอาจจะขาดแคลนหรือเป็นหลุมดำของรายได้ที่หายไป เพราะส่วนหนึ่งต้องพึ่งพิงการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาจับจ่ายซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งที่โลกจะกลับสู่ภาวะปกติได้ แต่ไทยเองไม่ได้ย่อท้อ ได้มุ่งเน้นการค่อยๆ เปิดประเทศโดยนำร่องจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เมื่อ 1 ก.ค.เพื่อเร่งเติมเต็มหลุมดำ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าภูเก็ตกว่า 1 หมื่นคน มียอดจองห้องพักกว่า 5 แสนห้อง ซึ่งจะใช้เป็นต้นแบบด้านการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการดูแลด้านสาธารณสุขเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว และพร้อมต่อการเปิดประเทศเต็มรูปแบบฟื้นฟูการท่องเที่ยวได้ต่อไป

Back to top button