เปิด 10 อันดับหุ้น SET100 ราคาพุ่ง-ร่วงแรง 9 เดือน!

เปิด 10 อันดับหุ้น SET100 ราคาพุ่ง-ร่วงแรง 9 เดือน! PSL นำทีมแชมป์รีเทิร์นสูง 160%


ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วง 9 เดือนแรก 2564 ยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดโควิด-19  โดยเห็นได้จากดัชนี SET ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 อยู่ที่ระดับ 1,449.35 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 1,605.68 จุด ณ วันที่ 30 ก.ย.64 บวก 156.33 จุด หรือเพิ่มขึ้น 10.78%

อย่างไรก็ตามทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงมากกกว่าตลาดในช่วงดังกล่าวมานำเสนออีกด้าน โดยครั้งนี้คัดเลือกจากหุ้นกลุ่ม SET100 ราคาปรับแรง ขณะเดียวกันยังได้สำรวจราคาหุ้น SET100 ร่วงสวนตลาดมานำเสนอ เพื่อเป็นโอกาสเข้าสะสะสมหุ้นลุ้นดีดกลับหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว

เนื่องจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจในระยะต่อไปจะได้รับผลบวกจากการกระจายวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เร็วกว่าคาด หลังยอดผู้ติดเชื้อลดลงจากระดับ 2 หมื่นคน/วัน มาสู่ระดับ 1 หมื่นคน/วัน

สำหรับกลุ่มหุ้น SET100 ที่ราปรับตัวขึ้นแรง 10 อันดับของกลุ่ม โดยเปรียบเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.63-30 ก.ย.2564 โดยเรียงลำดับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงมากสุดไปหาน้อยสุด ประกอบด้วย PSL, RBF, HANA, JMART, GUNKUL, KCE, DOHOME, BEC, TU, และ BCH ดังตารางประกอบ

โดยหุ้นราคาปรับตัวแรงอันดับ 1 คือ บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ราคาหุ้นในช่วง 9 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 164.47% จากระดับ 7.60 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 20.10 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.2564 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงจากพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่งและแนวโน้มกำไรปีนี้โตเด่นรับค่าระวางเรือทะยานต่อเนื่อง

ด้านนายคาลิด มอยนูดดิน ฮาชิม กรรมการผู้จัดการ PSL เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/64 จะเติบโตจากไตรมาส 2/64 เนื่องจากธุรกิจเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นที่ความต้องการใช้เรือขนส่งในการขนส่งสินค้าจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งกลุ่มสินค้าประเภทเหล็กที่ยังสูงอย่างต่อเนื่อง หลังจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ กลับมาดำเนินการผลิตได้อีกครั้ง รวมถึงสหรัฐฯและยุโรปไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ามากนัก จึงยังไม่มีการปิดเมืองและล็อกดาวน์ ส่งผลให้กิจกรรมการส่งออกยังคงทำได้ตามปกติ ขณะที่ยังไม่มีซัพพลายเรือใหม่เข้ามาในตลาดมากนัก

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (10 ส.ค.2564) ฝ่ายวิจัยได้ประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 3.10 พันล้านบาท โดยหลักๆ มาจาก (1) รายได้ที่ 8.30 พันล้านบาท ด้วย Assumption TC rate ที่ 19,164 ดอลลาร์ต่อวัน (เทียบกับนับจากต้นปีมาถึงช่วงเวลาปัจจุบัน TC rate ที่ 22,991 ดอลลาร์ต่อวัน) ซึ่งคาดว่าค่าระวางในครึ่งปีหลัง 2564 จะสูงกว่าเฉลี่ยในครึ่งปีแรก 2564 (2) อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอ่อนค่าจะกระทบต่อรายได้ที่เข้ามาเป็นดอลลาร์ อย่างไรก็ตามจะมีค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็น Natural Hedge บางส่วน(3) ประเมิน GPM ที่ 50.00% (ครึ่งปีแรก 2564 = 47.40%) เนื่องจากมองว่าค่าระวางยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องทั้งในไตรมาส 3 และไตรมาส 4/2564

นอกจากนี้ทางฝ่ายวิจัยประเมินกำไรปี 2565 ที่ 1.81 พันล้านบาท จาก (1) รายได้ที่ 6.71 พันล้านบาท ด้วย Assumption TC rate ที่ 15,331 ดอลลาร์ต่อวัน (ลดลง 20%จากงวดเดียวกันของปีก่อน) (2) GPM ลดลงมาที่ 42% เนื่องจากมองว่าค่าระวางจะเริ่มเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเหมาะสมที่ 26.00 บาท อิงปี 2565 ค่า PER ที่ 22.00 เท่าโดยเอาอีกราคาเข้าเป้าหมายปี 2565 เนื่องจากมีมุมมองว่าค่าระวางจะ Peak Out ในช่วงไตรมาส 4/2564 / ไตรมาส 1/2565 และจะเริ่มเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้นในปี 2565

อันดับ 2 บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ราคาหุ้นในช่วง 9 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 108.60% จากระดับ 9.30 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 19.40 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.2564 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงจากพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่งและแนวโน้มกำไรปีนี้โตเด่นและแผนธุรกิจกัญชงหนุนธุรกิจเติบโตในอนาคต

ด้านดร.สมชาย รัตนภูมิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RBF เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายในครึ่งปีหลัง 2564 มีทิศทางสูงขึ้นกว่าในครึ่งปีแรก จากยอดออเดอร์ที่สั่งซื้อส่วนประกอบอาหารและเครื่องดื่มของกลุ่มลูกค้า

ขณะที่การลงทุนในตลาดในอาเซียน RBF ยังคงเน้นการขยายตลาดในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม โดยลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในเวียดนามซึ่งเป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออก ส่วนที่อินโดนิเซียโรงงานในขณะนี้ สามารถเดินเครื่องการผลิตได้เต็มกำลังแล้วและบริษัทฯ เตรียมก่อสร้างโรงงานเฟส 2 ขึ้น ในปี 2565

สำหรับผลิตภัณฑ์กัญชง หลังบริษัทฯได้รับใบอนุญาตโรงสกัดสาร CBD-THC รายแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงใบอนุญาตผลิต (ปลูก) ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง และใบอนุญาตสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 บริษัทฯ ได้เริ่มเซ็นสัญญารับคำสั่งซื้อกับผู้ผลิตรายใหญ่แล้วและยังมีลูกค้ารายสำคัญอื่นๆที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเซ็นสัญญากับบริษัทฯต่อเนื่องในทุกประเภทสินค้า ทั้งอาหาร, เครื่องดื่ม, สมุนไพร, อาหารเสริม ฯลฯ

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. อนุญาตให้ใช้ CBD ได้สูงสุด 75 mg/k ถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะและเพียงพอที่จะทำให้เกิดการผ่อนคลาย ทั้งนี้ RBF วางเป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้า เมื่อต้นทุนวัตถุดิบ (ราคาต้นกัญชง) ลดลง จะส่งออกผลิตภัณฑ์สารสกัดกัญชงออกสู่ตลาดต่างประเทศ

สำหรับการปลดล็อกพืชกระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ประชาชนสามารถมีไว้ครอบครองและซื้อ-ขายได้นั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล หากตลาดมีความต้องการ บริษัทฯ ก็มีความพร้อมที่จะเดินหน้าธุรกิจดังกล่าวต่อไป เนื่องจากมีประสบการณ์ในฐานะผู้ผลิตสารปรุงแต่งมาก่อนและมีโรงสกัดที่พร้อม

อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ บริษัทฯ ยังมั่นใจว่ารายได้ในปี 2564 จะยังคงเติบโตตามเป้า 10-12% จากยอดออเดอร์สั่งซื้อส่วนประกอบอาหารและเครื่องดื่ม, รายได้จากธุรกิจธุรกิจกัญชง ที่ทยอยรับรู้รายได้ช่วงปลายไตรมาส 4/2564 หรือในต้นปี 2565

ด้านบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (9 ก.ย.2564) เชื่อว่าธุรกิจกัญชงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว เนื่องจากสามารถนำไปใช้ได้กับหลากหลายผลิตภัณฑ์ทั้งในกลุ่มอาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง, และผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ นอกจากนี้ สารสกัดจากกัญชงยังสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ในอนาคตอีกด้วย ถ้าหากต้นทุนการผลิตลดลงมากพอที่จะทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้

นอกจากนี้ มองว่าตลาดต่างประเทศจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนการเติบโตระยะยาวของบริษัท โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง อย่างเช่น อินโดนีเซีย และ เวียดนาม โดย RBF ได้ขยายฐานการผลิตแป้งชุบทอดในสองประเทศนี้แล้ว ทั้งนี้ ยังคงมองบวกกับแนวโน้มการเติบโตของ RBF และคาดว่ากำไรจะโตถึง 52% CAGR ในช่วงปี 2565-66 ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 26.50 บาท อิงจาก PER ที่ 52 เท่า

อันดับ 3 บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA ราคาหุ้นในช่วง 9 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 98.74% จากระดับ 39.75 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 79.00 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.2564 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงจากพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่งและแนวโน้มกำไรปีนี้โตเด่นและแผนธุรกิจกัญชงหนุนธุรกิจเติบโตในอนาคต

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (8 ก.ย.64) ว่า HANA แนะซื้อราคาเป้าหมาย 79 บาท ประเมินกำไรปกติไตรมาส 3/2564 ที่ 604 ล้านบาท (+65% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, -21% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) โดยการเพิ่มเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนของยอดขายและมาร์จิ้นเกิดจาก 1) โรงงานลำพูนยัง ได้ผลดีจาก economy of scale ค่าเงินบาทอ่อน และความต้องการสินค้ากลุ่มในกลุ่มรถยนต์ และสื่อสาร ส่วน

2) โรงงานเซมิในจีนมีความต้องการของลูกค้าไต้หวันและจีนเพิ่มขึ้น 3) โรงงาน ในสหรัฐได้รับความต้องการของลูกค้าในสหรัฐเพิ่มขึ้นในกลุ่ม smart barcode โดยคาดกำไรสุทธิปี 2564 โต +24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2,358 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 10 อันดับแรกรอบ 9 เดือน 2564 ได้แก่ TKN,TQM,PRM,STGT,BAM,BGRIM, RATCH,AEONTS,JAS และ EGCO  อย่างไรก็ตามแม้ราคาหุ้นจะอ่อนตัวลงแรง แต่หากมองอีกด้านถือเป็นจังหวะให้นักลงทุนเข้าสะสมหุ้นเข้าพอร์ตอีกครั้ง เนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่พื้นฐานแกร่งและมีกำไรเติบโตในอนาคต

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button