โบรกฯแนะ “เก็งกำไร” STA เป้า 32 บ. มองผลงานปีนี้โต 73% แตะ 1.65 หมื่นลบ.

“บล.ฟินันเซีย ไซรัส” แนะเก็งกำไร STA คงเป้า 32 บ. แม้มองผลงาน Q4 อ่อนตัว แต่ยังคงประมาณการกำไรปีนี้โต 73% แตะ 1.65 หมื่นลบ.


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินเกี่ยวกับหุ้น บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA โดยแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/64 น่าจะยังอ่อนลงจากไตรมาสก่อนและปีก่อน แม้ธุรกิจยางธรรมชาติกำลังเป็นขาขึ้น คาดปริมาณขายจะเร่งขึ้น 12.4% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 63% จากปีก่อน เป็น 3.5 แสนตัน และราคาขายยางยังปรับขึ้นต่อ แต่ด้วยน้ำหนักของธุรกิจถุงมือยางที่มากกว่า ซึ่งคาดราคาขายถุงมือยางในไตรมาส 4/64 จะอ่อนลงราว 25% จากไตรมาสก่อน เป็น US$35 ต่อ 1,000 ชิ้น

ขณะที่บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายถุงมือเพิ่มขึ้นราว 7% – 14% จากไตรมาสก่อน สาเหตุที่ราคายัง อ่อนลงเพราะ Demand เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ไม่มี Rush Order จ านวนมากเหมือน ในช่วงก่อนหน้า กอปรกับ Supply เร่งตัวขึ้นจากการขยายก าลังการผลิตของ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม ยังมองบวกต่อธุรกิจยางธรรมชาติในปี 2565 จาก Demand ที่ยังดีต่อเนื่อง หลายผู้ประกอบการยางล้อที่มีฐานการผลิตในไทย อยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิต ในขณะที่ Supply ยังตึงตัวจากอินโดนีเซียที่ประสบปัญหาโรคใบร่วง และทำให้ราคายางอินโดสูงกว่าราคา SICOM ถึง 20 เซนต์ต่อกก. ส่งผล Demand ยางของไทยปรับตัวขึ้น

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายยางธรรมชาติปี 2565 เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน เป็น 1.6 ล้านตัน และราคายางยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของขาขึ้น คาดราคายาง SICOM ปี 2565 จะขยับขึ้นเป็น 190-220 เซนต์ต่อกก. จากราคาเฉลี่ยปี 2564 ที่ 166 เซนต์ต่อกก. แต่เชื่อว่าจะถูกหักล้างด้วยแนวโน้มกำไรถุงมือยางที่น่าจะอ่อนตัวลงจากฐานสูง แม้บริษัทยังตั้งเป้าปริมาณขายถุงมือยางปี 2565 เร่งตัวขึ้น 59% จากปีก่อน เป็น 4.3 หมื่นล้านชิ้น จากที่น่าจะทำได้ราว 2.7 หมื่นล้านชิ้นในปี 2564 ภายหลังปัญหา Container Shortage น่าจะเริ่มคลี่คลาย แต่คาดราคาขายถุงมือน่าจะอ่อนตัวลงมาอยู่ในกรอบ US$25-35 ต่อ 1,000 ชิ้น จากราคาขายเฉลี่ยในปี 2564 ที่ US$58 ต่อ 1,000 ชิ้น ทั้งนี้บริษัทมองว่าราคาขายใกล้ผ่านจุดต่ำสุดในเดือน ธ.ค.64-ม.ค.65 ที่ระดับราคา US$35 ต่อ 1,000 ชิ้นแล้ว (สูงกว่าราคาก่อน COVID ที่ US$19 ต่อ 1,000 ชิ้น)

โดยเบื้องต้นยังคาดกำไรสุทธิปี 2564 ไว้ที่ 1.65 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากปีก่อน และปรับลดกำไรสุทธิปี 2565 ลง 26% เป็น 9,530 ล้านบาท ลดลง 42.2% จากปีก่อน แม้ล่าสุดบริษัทจะได้รับใบอนุญาตปลูกกัญชง 5 ไร่ที่ลำปาง ซึ่งอยู่ในระหว่างนำเข้าเมล็ดจาก US คาดจะลงปลูกได้ภายในเดือน พ.ย. และน่าจะเริ่มได้ผลผลิตเดือน มี.ค. 22 แต่ด้วยพื้นที่ยังไม่มาก คาดรายได้และกำไรจากกัญชงยังไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อประมาณการ

ทั้งนี้ ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 32 บาท (โดยปรับลด Target PBV เป็น 1 เท่า จากเดิม 1.5 เท่า กลับมาเท่ากับ PBV เฉลี่ยของบริษัท) คงคำแนะนำ “เก็งกำไร”

Back to top button