MINT ผลงานไตรมาส 3/64 แกร่ง สะท้อนรายได้โรงแรมยุโรปฟื้น

MINT รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/64 ขาดทุนลดลง ตอกย้ำถึงการดำเนินงานที่ฟื้นตัวจากธุรกิจโรงแรมในทวีปยุโรป หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย


บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2564 โดยมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 2.4 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 4.8 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2563 และ 3.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2564

โดยผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นจากทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของการดำเนินงานของ MINT ตลอดทั้งปี 2564 โดยการฟื้นตัวดังกล่าวได้รับแรงผลักดันจากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมของ MINT โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรป

ทั้งนี้ หากรวมรายการที่เกินขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT รายงานผลขาดทุนสุทธิตามงบการเงินจำนวน 0.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2564 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจำนวน 5.6 พันล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2563 และรายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 11.6 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 15.8 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563

ด้าน ไมเนอร์ ฟู้ด รายงานผลกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 104 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับในไตรมาส 2 ปี 2564 แต่ชะลอตัวลงจากไตรมาส 3 ปี 2563 ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 202 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2564 ทุกกลุ่มธุรกิจร้านอาหารหลักของไมเนอร์ ฟู้ดได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 สายพันธุ์เดลต้า ส่งผลให้มีการจำกัดการเดินทางและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ (และในบางประเทศมีการปิดให้บริการร้านอาหารเป็นการชั่วคราว) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งธุรกิจนั่งรับประทานอาหารภายในร้านและบริการจัดส่งอาหารในระดับที่แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ดังนั้น กลุ่มธุรกิจร้านอาหารทั้งในประเทศไทย จีน และออสเตรเลียของไมเนอร์ ฟู้ดรายงานการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมที่เป็นลบ

โดยส่งผลให้ยอดขายต่อร้านเดิมโดยรวมลดลงร้อยละ 7.2 ในไตรมาส 3 ปี 2564 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจของไมเนอร์ ฟู้ดจะมีการชะลอตัว แต่ทุกกลุ่มธุรกิจร้านอาหารหลักยังคงสามารถสร้างผลกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2564 จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีระเบียบวินัยและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้สูงขึ้น

สำหรับในไตรมาส 3 ปี 2564 ไมเนอร์ โฮเทลส์ มีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 โดยมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 2.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งลดลงมากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 4.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2563 และปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2564 ซึ่งมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 3.4 พันล้านบาท โดยการฟื้นตัวดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นผลมาผลจากการดำเนินงานที่ดีของกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรปของไมเนอร์ โฮเทลส์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสเปนและอิตาลี โดยการผ่อนคลายข้อจำกัดทางด้านการเดินทางอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ไม่สามารถเดินทางได้เป็นเวลานาน ส่งผลให้ทั้งอัตราการเข้าพักและราคาค่าห้องพักของกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรปเติบโตขึ้นในแต่ละเดือนตลอดทั้งไตรมาส

นอกจากนี้ โรงแรมในประเทศมัลดีฟส์และตะวันออกกลางยังคงมีการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในไตรมาส 3 ปี 2564 อยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ในไตรมาส 3 ปี 2562 จากทั้งอัตราการเข้าพักและราคาค่าห้องพักที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นของทั้งสามภูมิภาคดังกล่าว ประกอบกับการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอนันตรา เวเคชั่น คลับ สามารถหักกลบผลกระทบจากการชะลอตัวของธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศออสเตรเลียและไทย ซึ่งมีการปิดประเทศในช่วงไตรมาสดังกล่าว เนื่องจากการระบาดของโรค COVID-19 สายพันธุ์เดลต้า อย่างไรก็ตาม จากการที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ไมเนอร์ โฮเทลส์เห็นถึงสัญญาณแนวโน้มเชิงบวกในช่วงที่เหลือของปี 2564

อย่างไรก็ตาม MINT ยังคงมุ่งรักษาสภาพคล่องท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจที่มีความผันผวนนี้ โดยกระแสเงินสดเฉลี่ยต่อเดือนปรับตัวดีขึ้นและกลับมาเป็นบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ประมาณ 4.9 พันล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานและเงินสดที่ได้รับจากการหมุนเวียนสินทรัพย์ของโรงแรมทิโวลี 2 แห่งในประเทศโปรตุเกสในเดือนกรกฎาคม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการนำเงินสดส่วนหนึ่งไปใช้เพื่อชำระหนี้ในระหว่างไตรมาส แต่ MINT ยังคงมีเงินสดในมืออยู่จำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 3.3 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 เพื่อกันไว้ใช้หากจำเป็นเนื่องจากความไม่แน่นอนของระยะเวลาในการฟื้นตัวของธุรกิจ นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินของ MINT ยังคงมีเสถียรภาพ โดยความสำเร็จในการเจรจายกเว้นเงื่อนไขการชำระหนี้ยังคงช่วยลดแรงกดดันต่อฐานะทางการเงินของบริษัทได้จนถึงสิ้นปี 2565

ทั้งนี้ เมื่อมองไปในอนาคต สภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดย  MINT ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเดินทางที่แข็งแกร่งในทวีปยุโรปและประเทศมัลดีฟส์ และบริษัทคาดว่าการฟื้นตัวของภูมิภาคอื่นๆ จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากรัฐบาลของแต่ละประเทศเริ่มมีการผ่อนคลายข้อจำกัดทางการเดินทาง ซึ่งรวมถึง 2 ตลาดหลักของไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้แก่ ประเทศไทยและออสเตรเลีย

โดยได้เริ่มมีการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2564 ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยของไมเนอร์ ฟู้ดคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการผ่อนคลายข้อจำกัดทางด้านการเดินทางและการเข้าสังคม เช่นเดียวกับการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 และกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศออสเตรเลียตั้งแต่ต้นปี 2564 ทั้งนี้ ด้วยโครงการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา MINT อยู่ในสถานะที่จะได้รับประโยชน์จากความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นในช่วงการฟื้นตัวขอธุรกิจและต่อไปในอนาคต

เรารู้สึกมั่นใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่แข็งแกร่งในภูมิภาคที่ได้กลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง โดยสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น และความต้องการที่ล้นหลามจากมาตรการการปิดประเทศมาอย่างยาวนาน จะยังคงมีส่วนช่วยในการฟื้นตัวของธุรกิจต่อไป และที่สำคัญไปกว่านั้น การฟื้นตัวของธุรกิจของเราเกิดจากความเสียสละและความพยายามอย่างเต็มที่ของบุคลากรของเราทั่วทั้งองค์กร ตั้งแต่ทีมการขายไปจนถึงทีมปฏิบัติการ ตั้งแต่พนักงานด่านหน้าไปจนถึงหน่วยสนับสนุน เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต และเราจะสร้างการเติบโตและผลกำไรให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราในปีต่อๆ ไป” นายดิลลิป ราชากาเรีย กล่าว

Back to top button