โบรกฯแนะสอย CK-STEC หุ้นเด่นรับเหมาฯ-ลุ้นชิงเค้กงานรัฐกว่า 4.8 แสนลบ.

โบรกฯแนะสอย CK-STEC หุ้นเด่นรับเหมาฯ-ลุ้นชิงเค้กงานรัฐกว่า 4.8 แสนลบ. จับตากำไรปี 65 โตแรง-แถมหุ้นอัพไซด์สูงเกิน 20%


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากงานประมูลภาครัฐที่กลับมาเร่งตัวอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้สำรวจและอ้างอิงข้อมูลมาจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งแนะนำ Bullish ต่อกลุ่มรับเหมาฯจากโครงการรัฐที่จะทยอยเข้ามามาก โดยแนะนำซื้อทั้ง CK และ STEC เนื่องจากทั้งคู่มีศักยภาพในการได้งานรัฐสูง

โดยโครงการรัฐที่จะทยอยเข้ามาในครึ่งหลังปี 2564-ปี 2566 มีมูลค่าสูงถึง 4.8 แสนลบ หรือโตกว่า 2.2 เท่าตัว เมื่อเทียบกับ 2562-ครึ่งแรกปี 2564 โดยตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 คาดจะมีการลงนามของโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย เชียงของมูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องในไตรมาส 1/2565 จะเห็นการเปิดประมูลของรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกมูลค่า 1.27 แสนล้านบาท และการประกาศผู้ชนะของรถไฟฟ้าสายสีม่วงมูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท โดยมองว่าโครงการเหล่านี้รวมถึงงานเอกชนอย่างเขื่อนหลวงพระบางมูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท จะลงนามในช่วงครึ่งหลังปี 2565 อีกทั้งยังมีโครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 มูลค่ากว่า 3.3 แสนล้านบาท ที่คาดจะเข้ามาในช่วงปี 2566 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง

ดังนั้นมองว่าจากภาพอุตสาหกรรมที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและ แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565 จะฟื้นตัวโดดเด่นจากปริมาณงานรัฐที่ทยอยเข้ามามากใน ครึ่งหลังปี 2564-ปี 2566 มูลค่า 4.8 แสนล้านบาท โดยกลุ่มรับเหมาที่เราศึกษามีศักยภาพในการได้งานรัฐสูงเนื่องจากเป็นบริษัทรับเหมาขนาดใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานรางรถไฟฟ้าตรงกับประเภทงานที่กำลังจะเข้ามา

อีกทั้งมีความพร้อมทั้งด้านของคนงานที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว และด้านเครื่องจักร อุปกรณ์ที่มีการลงทุนไปก่อนหน้านี้ และแนวโน้ม อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) กลุ่มฯ พลิกกลับเป็นขาขึ้นจากโครงการ % GPM ต่ำลดลง และได้ประโยชน์จาก economies of scale จากโครงการขนาดใหญ่ปัจจุบันกลุ่มฯ trade อยู่ที่ 1.38x PBV ซึ่งอยู่ในช่วง -0.5 ถึง -1.0 SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี เหมาะแก่การซื้อเพื่อตอบรับภาพอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว

สำหรับหุ้นกลุ่มรับเหมาฯที่ศึกษามีศักยภาพในการได้งานรัฐกว่า 2.2 แสนล้านบาท (47% Mk share) กว่า 94% ของงานรัฐที่กำลังจะเข้ามาเป็นโครงการรถไฟฟ้า และรถไฟทางคู่ ซึ่งเป็นประเภทงาน ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง โดยเฉพาะงานรถไฟฟ้าที่เป็นงานขุดอุโมงค์ใต้ดิน และเป็น งานที่กลุ่มรับเหมาฯที่เราศึกษาถนัดหากอิงจาก track record เดิม

ซึ่งผู้รับเหมาฯ ที่เชี่ยวชาญด้านงานขุดอุโมงค์ใต้ดินนั้นมีไม่มาก สะท้อนการแข่งขันที่ยังจำกัด คาดการได้งานรัฐของกลุ่มฯจะมีมูลค่ากว่า 2.2 แสนล้านบาท (47% market share) และหากรวมงานเอกชนอย่างเขื่อนหลวงพระบาง จะมีมูลค่ารวมกว่า 3.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็น CK ที่ 2.0 แสนล้านบาท และ STEC ที่ 1.1 แสนล้านบาท

โดยคาดกำไรปกติกลุ่มปี 2565 ฟื้นตัวอย่างมากอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท (โต 416% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จาก 1) backlog ในมือที่ยังมีมากราว 1 แสนล้านบาท และงานรัฐและเอกชนที่เป็น key driver เริ่มทยอยเข้ามาทำให้ backlog กลุ่มฯ เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.27 แสนล้านบาท ในปี 2564  มาที่ 2.97 แสนล้านบาท (โต 133% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ในปี 2565 และรายได้กลุ่มฟื้นตัวอยู่ที่ 6.0 หมื่นล้านบาท (โต 44% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน)  และ อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 6.3% (โต93bps เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากสัดส่วนโครงการ %GPM ทยอยลดลงและหมดไปในไตรมาส 4/2565 ขณะที่ส่วนแบ่งกำไร ฯ ฟื้นอย่างมีนัยสำคัญ (โต 98% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) หลักๆจาก BEM หลังปลด lockdown

ทั้งนี้ให้น้ำหนัก Bullish ต่อกลุ่มรับเหมาฯ จากโครงการรัฐที่จะทยอยเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/2564-ปี 2566  มูลค่า กว่า 4.8 แสนล้านบาท และแนะนำซื้อทั้ง CK และ STEC เนื่องจากทั้งคู่มีศักยภาพในการได้งานรัฐสูงคาดมีส่วนแบ่งงานราว 24% และ 23% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามเลือก STEC เป็น Top pick จากราคาที่ยัง Laggard

โดย STEC แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 19.60 บาท จากรายได้ที่จะโตต่อเนื่องจาก Backlog ในมือที่มากราว 7.8 หมื่นล้านบาท และหนุน เพิ่มเติมจากงานประมูลที่จะเข้ามา โดยเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาฯที่มีศักยภาพในการได้งานในอนาคตสูง คิดเป็นการได้งานกว่า 1.1 แสนล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) พลิกกลับเป็นขาขึ้นจากสัดส่วนโครงการ % GPM ค่อยๆลดลงและหมดไปใน ไตรมาส 4/2565 โดยรวมทำให้กำไรสุทธิปี 2565  ฟื้นตัว 138% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังมี % backlog secure ในช่วง 2 ปีครึ่งข้างหน้าสูงถึง 71% สะท้อนความเสี่ยงที่ต่ำ

ด้าน CK แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 26.10 บาท จากเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐมากที่สุดในกลุ่ม รวมถึงมีงานเอกชน เฉพาะตัวอย่างเขื่อนหลวงพระบางคิดเป็นได้งานกว่า 1.98 แสนล้านบาท ในช่วง 2 ปีครึ่งข้างหน้า อีกทั้งยังมีแรงเสริมจากส่วนแบ่งกำไรของ BEM ที่จะฟื้นตัวอย่างมาก 350% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในปี 2565 หลังมีการคลาย lockdown ทำให้กำไรสุทธิปี 2565 ฟื้นตัวกว่า 298% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button