“เอเซีย พลัส” คัด 5 หุ้นเก็บเข้าพอร์ต เน้นปันผลเด่น-อัพไซด์สูงเกิน 30%        

“เอเซีย พลัส” คัด 5 หุ้นเก็บเข้าพอร์ต เน้นปันผลเด่น-อัพไซด์สูงเกิน 30% รับตลาดผันผวน SCCC,SAPPE,THANI,SCC,NER เด่น


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์(4 ก.พ.2565) ว่า ภาพรวมสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดหุ้นโลกยังอยู่ในภาวะผันผวน หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะช่วยลดความผันผวนให้พอร์ต และสามารถที่จะ Outperform ตลาดได้ในช่วง 1 ถึง 2 เดือนหลังประกาศงบปี คือ “หุ้นปันผล” ซึ่งมีหลายเหตุผลจูงใจให้ลงทุนในช่วงนี้

ทั้งนี้ผลตอบแทนในอดีตของ SETHD (ดัชนีหุ้นปันผลสูง) มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกและชนะ SET ในช่วง 4 เดือนแรกของปีเสมอ โดยในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ไม่นับปี 2563 หากรวมปันผลกลับ SETHD TRI ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11.8% ขณะที่ SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.28%

ขณะที่ SETHD ในปีนี้ ยังให้ผลตอบแทนชนะ SET เช่นเดียวกับในอดีต โดยเริ่มต้นปี 2565 ดัชนี SETHD ให้ผลตอบแทนสูงถึง 2.3% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน outperform ดัชนี SET ให้ผลตอบแทน 0.69%ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันในมุมความเสี่ยง ปีนี้ดัชนี SETHD มีค่าความผันผวนต่อปีหรือ Volatility 1 ปี เพียง 4.91% ต่ำกว่า SET มีค่าอยู่ที่ 7.85% แสดงให้เห็นว่าหุ้นปันผลยังช่วยลดความผันผวนให้พอร์ตได้ดี ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน

ทั้งจังหวะเวลาและข้อดีของหุ้นปันผล ฝ่ายวิจัยจึงทำการค้นหาหุ้นปันผลน่าลงทุน โดยผ่านเงื่อนไขดังนี้ 1. เป็นหุ้นพื้นฐานดี (ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ มี Upside) และ 2. คาดหวังปันผลได้สูง (Dividend yield มากกว่า 4% ต่อปี) ได้ผลลัพธ์ดังตารางทางด้านล่าง

จากตารางมีหุ้นหลายบริษัทที่จ่ายปันผลหลังประกาศงบปี 64 สูง พื้นฐานดี และราคาหุ้นยังขึ้นไม่มากน่าลงทุน อาทิ SAPPE, THANI, SCCC* (ปันผลปีละครั้ง) และ NER,SCC (ปันผลปีละ 2 ครั้ง) โดยหุ้นปันผลเด่นมีรายละเอียดทางพื้นฐานที่น่าสนใจ 3 ตัว ดังนี้

ลำดับ 1.บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ราคาพื้นฐาน 35 บาท แนวโน้มกำไรสดใสตั้งแต่ไตรมาส 1/2565 ถึงไตรมาส 2/2565 จากการเข้าสู่ฤดูร้อนที่เป็น High Season ของกลุ่มเครื่องดื่ม นอกจากนี้ลุ้นเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับกัญชา/กัญชง มีโอกาสสร้าง Catalyst ต่อราคาหุ้นและกระตุ้นยอดขายตลาดในประเทศ คาดกำไรปกติปี 2565 เพิ่มขึ้น 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เท่ากับ 504 ล้านบาทขณะที่สถานะการเงินเป็น Net Cash ราว 1.6 พันล้านบาท ทำให้คาดหวังการเติบโตแบบ Inorganic Growth และ อัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield เฉลี่ย 4.5% ต่อปี

ลำดับ 2.บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน)  หรือ THANI ราคาพื้นฐาน 5.00 บาท คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/2564 จะฟื้นจากงวด ไตรมาส 3/2564 ตามการเติบโตของสินเชื่อ ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าแนวโน้ม credit cost ที่จะทรงตัวสูงไปได้ทั้งหมด คาดทิศทางกำไรสุทธิปี 2565 จะพลิกกลับมาเติบโต 12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 2,026 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นล่าสุดมี PBV ที่ 2.0 เท่า มีส่วนลด PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีอยู่ 1SD โดยมีอัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield ได้ราว 5% ต่อปี

ลำดับ 3.บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ราคาพื้นฐาน 210 บาท คาดกำไรปี 64 เติบโต 5.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนแบ่งกำไรจาก LANNA  ที่น่าเพิ่มขึ้นตามราคาถ่านหิน ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโควิดเป็นปัจจัยบวกสำคัญ ที่น่าจะทำให้การปรับราคาปูนซีเมนต์ทำได้ดีขึ้นในปีนี้ พร้อมเดินหน้าลงทุนโครงการลดต้นทุนและโครงการที่สร้างผลตอบแทนคืนมาได้เร็ว พร้อมคาดหวังอัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield ที่ระดับ 5.60%

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button