KEX เดินหน้ากลยุทธ์ “ราคาเชิงรุก” ปักธงปี 65 ยอดขนส่งพัสดุโต 30% มุ่งรักษาผู้นำตลาด!

KEX เดินหน้ากลยุทธ์ด้านราคาเชิงรุก หวังขยายฐานลูกค้ารายย่อย คาดปี 65 ยอดขนส่งพัสดุด่วนโต 30% และต้นทุนลดลงราว 20% มุ่งเป้ารักษาตำแหน่งผู้นำตลาด!


นายอิศรินทร์ ภัทรมัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการลงทุน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้น” ออกอากาศทางช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2565 มีประเด็นสำคัญดังนี้

กลยุทธ์ราคาเชิงรุกจะทำให้ผลการดำเนินงานเติบโตในระยะกลางได้อย่างไร

KEX ถือได้ว่าเป็นผู้นำตลาดจัดส่งพัสดุด่วน โดยมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยถึงแม้ว่า KEX จะเป็นผู้ประกอบการในไม่กี่รายที่สามารถสร้างกำไรในตลาดจัดส่งพัสดุด่วนนี้ได้ แต่ในระยะกลางหรือในระยะยาวหาก KEX หยุดนิ่งยังคงดำเนินธุรกิจตามแบบกลยุทธ์เหมือนเดิมคาดว่าจะทำให้สูญเสียความได้เปรียบการแข่งขันทางธุรกิจ และในที่สุดก็จะสูญเสียความเป็นผู้นำของตลาดไป

ดังนั้น KEX จึงได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานในช่วงกลางปี 2564 ที่ผ่านมา โดยที่จะเน้นการขยายฐานความเป็นผู้นำตลาด ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวก็คือ “กลยุทธ์ราคาเชิงรุก” โดยจะต้องเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มตลาด ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ยอดจัดส่งพัสดุ 30% ในช่วงปีที่ผ่านมา และตั้งเป้าเติบโตขึ้นอย่างน้อยปีละประมาณ 30% เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดเอาไว้ อีกทั้งยังได้นำเทคโนโลยีมาใช้สำหรับการใช้บริการ ซึ่งจะช่วยให้ KEX ลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

KEX จะสามารถกลับมาใช้กลยุทธ์ด้านราคาอย่างปกติได้เมื่อไหร่

หากดูจากโมเดลธุรกิจนี้ในต่างประเทศจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะมีการแข่งขันด้านราคาที่ค่อนข้างรุนแรงในระดับหนึ่ง แต่เมื่อการแข่งขันที่รุนแรงผ่านไปแล้ว ราคาจะเข้าสู่จุดสมดุล ซึ่งขณะนี้การแข่งขันด้านราคาในประเทศไทยถือว่าค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ดี KEX มองว่าในช่วงประมาณครึ่งหลังปี 2565 ตลาดจัดส่งพัสดุด่วนน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้น และอาจส่งผลให้การแข่งขันด้านราคาลดลง

สัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้า B2B, B2C และ C2C ในช่วงปี 2565 เป็นอย่างไร

ลูกค้ารายหนึ่งหรือผู้ประกอบการรายหนึ่งอาจจะขายของอยู่บนแพลตฟอร์มเฟสบุ๊ค หรืออินสตาแกรม ซึ่งลูกค้าในส่วนนี้ถือว่าเป็นลูกค้า C2C แต่ถ้าหากลูกค้าไปฝากขายบนอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น ช้อปปี้ ลาซาด้า ก็จะกลายเป็นลูกค้า B2C ดังนั้นจึงเชื่อว่าทั้งลูกค้ากลุ่ม B2C และ C2C จะสามารถเติบโตไปด้วยกันได้ แต่อย่างไรก็ตามจากกลยุทธ์ด้านราคาเชิงรุก ที่มีเป้าหมายว่าต้องการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างหลากหลายทั้งผู้ประกอบการหรือพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย จึงคาดว่าสัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้า C2C ปรับตัวขึ้นได้เร็วกว่า B2C

ความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “บริษัท เคอรี่ เบทาโกร จำกัด” และคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ KEX ได้อย่างไรบ้าง

บริษัท เคอรี่ เบทาโกร จำกัด เป็นการร่วมทุนระหว่าง KEX กับบริษัท เบทาโกร จำกัด ซึ่งเป็น 1 ในผู้นำในตลาดอุตสาหกรรมอาหาร โดยการร่วมมือในครั้งนี้เพื่อสร้างธุรกิจที่เป็นแพลตฟอร์มการจัดส่งอาหารและเครื่องดื่มแบบควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการผสมผสาน Hub-and-Spoke ซึ่งเป็นโมเดลที่ทาง KEX ดำเนินการอยู่แล้ว นอกจากนั้นด้วยเทคโนลียีการควบคุมอุณหภูมิยังช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าอาหารและเครื่องดื่มจะสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย เชื่อว่า บริษัท เคอรี่ เบทาโกร จำกัด จะเป็นผู้ประกอบการรายแรกๆ ของไทยที่จะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับ KEX ได้อย่างน้อย 5-10% ของรายได้รวมในปี 2565

รวมทั้งเมื่อวันที่ 14 ก.พ.2565 บริษัทฯ ได้จับมือกับบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดตัวบริการส่งด่วน Kerry XL สำหรับสินค้าขนาดใหญ่ จึงเชื่อว่าทั้ง 2 บริการนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับ KEX อย่างน้อย 25% ของรายได้รวมในอนาคต

KEX วางเป้าหมายธุรกิจปี 2565 ไว้อย่างไรบ้าง

ในช่วงปี 2564-2565 ถือเป็นช่วงของปรับโมเดลการดำเนินธุรกิจของ KEX ในระยะสั้น เพื่อหวังผลตอบแทนในระยะกลาง และระยะยาว โดยการตั้งเป้าหมายว่าจะยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาด ด้วยการขยายฐานลูกค้า และเพิ่มยอดจัดส่งมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดจัดส่งพัสดุไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งเชื่อว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าอัตราการเติบโตยอดจัดส่งพัสดุอย่างน้อย 30% และตั้งเป้าหมายลดต้นทุนต่อหน่วยลงประมาณ 20%

Back to top button