แรงขาย “บิ๊กแคป” กด SET บ่ายดิ่งหนัก 50 จุด เซ่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ

SET บ่ายดิ่งหนัก 50 จุด รับแรงเทขายหุ้นบิ๊กแคป เผชิญแรงกดดันเชิงลบวิกฤตรัสเซียและยูเครน หลังสหรัฐและชาติพันธมิตรในยุโรปกำลังพิจารณาระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ เวลา 15:37 น. อยู่ที่ 1,620.79 จุด ลดลง 50.93 จุด หรือ 3.05% สูงสุดที่ 1,655.19 จุด ต่ำสุดที่ 1,620.68 จุด มูลค่าการซื้อขาย 9.44 หมื่นล้านบาท

นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก สอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย รับแรงกดดันจาก Sentiment เชิงลบวิกฤตรัสเซียและยูเครน หลังล่าสุด สหรัฐและชาติพันธมิตรในยุโรปกำลังพิจารณาระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเพื่อตอบโต้การบุกยูเครน ขณะเดียวกันรัสเซียเองได้ดำเนินการระงับการส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยุโรป ซึ่งคิดเป็น 15% ของความต้องการใช้ในยุโรป ทำให้กระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก เนื่องจากมองว่าอาจเกิดภาวะตึงเครียดมากขึ้นกว่านี้

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่าย นายณรงค์เดช กล่าวว่า ภาพระยะสั่นยังผันผวนอิงทางลง โดยวันนี้ยังต้องจับตาดูการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนรอบที่ 3 ให้แนวรับที่ 1,610 จุด และแนวต้านที่ 1,645-1,660 จุด

ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมากจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังสร้างแรงกดดันอย่างมาก และราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่ออการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ทำให้มีแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาทั่วโลก โดยกังวลการรุกคืบเข้าโจมตียูเครนหนักขึ้นและมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียทำให้มีความเสี่ยงสูงขึ้น

สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน ก็จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงเป็นลบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม ดุลบัญชีเดินสะพัดจะแย่ลง รวมถึงนักท่องเที่ยวรัสเซียที่จะหายไปหลังจากค่าเงินรูเบิลดิ่งลงอย่างหนัก ทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางมากขึ้น

ให้แนวรับ 1,620-1,600 จุด หากหลุดให้แนวรับถัดไปที่ 1,585 และ 1,570 จุด แนวต้านที่ 1,630-1,640 จุด

ทั้งนี้นายกรภัทร แนะว่านักลงทุนอาจใช้จังหวะนี้เริ่มเข้าซื้อในลักษณะ Selective Buy ชู Domestic Play เด่น อาทิ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มไอซีที และกลุ่มโรงพยาบาล

Back to top button