กกร. ปรับลด GDP ไทยปีนี้เหลือ 2.5-4% พร้อมขยับกรอบเงินเฟ้อ 3.5-5.5%

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ปรับลดประมาณการเติบโต GDP ของไทยเหลือ 2.5-4% พร้อมกับปรับเพิ่มกรอบเงินเฟ้อเป็น 3.5-5.5% หลังราคาสินค้าอุปโภค และบริโภค ปรับตัวสูงขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน พร้อมเสนอรัฐต่ออายุโครงการกระตุ้นกำลังซื้อประชาชน


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะทำหน้าที่ประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า กกร. ได้พิจารณาปรับกรอบประมาณการเศรษฐกิจไทย หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2565 ลดขยายตัวเป็น 2.5-4% จากเดิมคาดไว้ 2.5-4.5% พร้อมกับปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อ เป็น 3.5-5.5% จากเดิม 2-3% ส่วนการส่งออก ยังคงเป้าหมายเดิมที่ 3-5% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน โดยเฉพาะแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มสูงสุดรอบ 10 ปี

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน โดยเฉพาะแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงที่สุดในรอบ 10 ปี  จากการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 4.9% ซึ่งเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมากจะเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์และกำลังซื้อในประเทศ แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังคาดว่าจะเติบโตได้ จากความมุ่งมั่นของทั้งภาครัฐและเอกชนในการปรับตัวให้สามารถอยู่กับโควิด-19 ได้ ในแบบเป็นปกติมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้โดยเฉพาะจากปัจจัยการส่งออก

ทั้งนี้ แม้ว่าวิกฤตรัสเซียและยูเครน จะกระทบการส่งออกและการท่องเที่ยวโดยตรงไม่มากนัก แต่ผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญอื่นๆ เช่น ปุ๋ย ย่อมเกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาราคาอาหารสดและราคาอาหารสำเร็จรูป ที่กำลังมีสัญญาณการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหากความขัดแย้งยืดเยื้อและยังมีความรุนแรง จะยิ่งส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกมีแนวโน้มทะยานสูงขึ้น และทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มลดลง

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีการยกเลิกมาตรการ Test & GO จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้มากขึ้น และสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ โดยเฉพาะในช่วงที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นๆ มีข้อจำกัด และอยากให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้เกิน 3%  พร้อมกันนี้  กกร. มีความเห็นว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจยังต้องการแรงกระตุ้น ภาครัฐควรพิจารณา ต่ออายุโครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2565

Back to top button