
หอการค้า หั่น GDP ปี 68 เหลือ 1.7% เซ่นพิษการเมือง-ภาษีสหรัฐ หวั่นข้อพิพาทกัมพูชายืดเยื้อ
หอการค้าไทย ปรับลดประมาณ GDP ขยายตัวเพียง 1.7% เดิมคาดไว้ 3% สะท้อนปัจจัยลบการเมืองในประเทศ กระทบการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุน พร้อมเผชิญแรงกดดันเจรจาภาษีสหรัฐ ฟากด่านชาย “แดนไทย-กัมพูชา”หากยืดเยื้อประเมิณสูญเสียรายได้กว่า 1.2 หมื่นล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (26 มิ.ย.68) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2568 ลงเหลือ 1.7% จากเดิมที่คาดไว้ 3% โดยให้เหตุผลว่ามีหลายปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะ มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ที่อาจกดดันการส่งออกไทย แม้ในสถานการณ์ที่ดีที่สุดการเติบโตก็ยังมีโอกาสถูกจำกัดในระดับต่ำ
ความสำเร็จของ การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะเป็นปัจจัยชี้ขาดระดับผลกระทบที่ไทยจะต้องเผชิญ ขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญแรงกดดันจาก สินค้าจีนที่ไหลทะลักเข้ามาในประเทศ โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยการนำเข้าสินค้าจากจีนของไทย เพิ่มขึ้น 30%
ขณะที่การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง 34.5% แต่ส่งออกมายังอาเซียน เพิ่มขึ้น 18.5%
นอกจากนี้ ภาคการผลิตในประเทศยังฟื้นตัวช้ากว่าการส่งออก กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับ การแข่งขันด้านราคาจากสินค้าจีนราคาถูก อย่างหนัก ด้านการลงทุนภาคเอกชน ยังหดตัวต่อเนื่อง
ส่วน สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งผลให้มีการปิดด่านการค้าชายแดนชั่วคราว โดยปัจจุบัน มูลค่าการค้าชายแดนอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทต่อวัน หากสถานการณ์ยืดเยื้อถึง 1 เดือน จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ได้ประเมิณผลกระทบแยกตามกลุ่มจากกรณีไทยไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังกัมพูชาได้ จะกระทบกับ 3 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม มูลค่าส่งออก 32,740 ล้านบาท, ยานพาหนะและชิ้นส่วน – มูลค่าส่งออก 18,570 ล้านบาท และเคมีภัณฑ์และปุ๋ย มูลค่าส่งออก 15,309 ล้านบาท
กลับกันหากไทยไม่สามารถนำเข้าสินค้าจากกัมพูชาได้ จะกระทบกับ 3 กลุ่มสินค้าหลักเช่นกัน ได้แก่ โลหะและเศษโลหะ มูลค่านำเข้า 8,189 ล้านบาท, มันสำปะหลัง มูลค่านำเข้า 7,286 ล้านบาท และ ผลิตภัณฑ์โลหะ มูลค่านำเข้า 4,919 ล้านบาท
นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าภาคการส่งออกจะขยายตัว 2.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 0.5% และหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 87.4% โดยใช้กรณีฐาน (Base Case) เป็นสมมติฐานหลักในการประเมินซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น 55% ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ คือ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้าอัตรา 15–20%, ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล–อิหร่านคลี่คลายได้เร็ว
ส่วนความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ยืดเยื้อและภาครัฐสามารถเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 50% ภายในปีนี้ พร้อมประเด็นนายกรัฐมนตรียังคงอยู่ในตำแหน่งตลอดทั้งปี 2568