“บล.พาย” คัด 7 หุ้นน่าเก็บสัปดาห์นี้ แนะจับตายอดป่วย “โควิด” หลังสงกรานต์

“บล.พาย” คัด 7 หุ้นน่าเก็บสัปดาห์นี้ แนะจับตาภาพรวมยอดการติดเชื้อผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศ หลังเสร็จสิ้นเทศกาลสงกรานต์


บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (18 เม.ย. 2565) คาดในสัปดาห์นี้หลังเสร็จสิ้นเทศกาลสงกรานต์ซึ่งมีปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ภาพรวมการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเนื่องจากเกิดการท่องเที่ยวและการเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชน ถึงแม้การติดเชื้อล่าสุดจะลดลงมาอยู่เพียง 1.7 หมื่นราย ต่ำสุดในรอบ 2 เดือน

อย่างไรก็ตามอาจเกิดจากปริมาณการเข้าตรวจที่ลดน้อยลงเพราะเทศกาลสงกรานต์ ขณะที่เสียชีวิตเร่งตัวขึ้นล่าสุดอยู่ที่ 128 รายสูงสุดในรอบ 7 เดือน ขณะเดียวกันสถานการณ์โควิด-19 ในจีนก็เป็นที่ต้องจับตาใกล้ชิดหลังจากยอดผู้ติดเชื้อ ณ วันที่ 15 เมษายน 2565 อยู่ที่ 52,951 ราย (สูงสุดในประวัติการณ์)

ทั้งนี้หากจีนยังคงดำเนินมาตรการ Zero COVID-19 ย่อมแลกมากับความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงอุปทานขาดแคลน ซึ่งปัจจุบันจีนถือเป็นประเทศที่มีมูลค่าส่งออกสินค้าสูงสุดอันดับแรกของโลกด้วยมูลค่าราว 3.3 ล้านล้านเหรียญ ขณะที่ไทยก็พึ่งพิงการส่งออกไปจีนค่อนข้างสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศที่ส่งออกทั้งหมดและคิดเป็น 11.4% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดในเดือนกุมพาพันธ์ 2565 โดยด้านบริษัทจดทะเบียนที่ได้ประโยชน์พบว่า ได้แก่ CBG, CPF, HANA, NER และ SPA ขณะที่หุ้นได้รับผลกระทบทางอ้อมได้แก่กลุ่มน้ำมัน คือ PTTEP ขณะที่กลุ่มเดินเรือ ได้แก่ PSL, TTA และกลุ่มปิโตรเคมี ได้แก่ PTTGC, IVL

โดยถัดมาจะเป็นเรื่องของผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/2565 อิง Bloomberg ประเมินว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดจะรายงานในสัปดาห์นี้ เบื้องต้น 6 ธนาคารพาณิชย์ที่ดูแล ได้แก่ BBL, KBANK, KKP, KTB, SCB และ TTB ซึ่งประเมินกำไรสุทธิรวมกันอยู่ที่ 4.05 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้นผลจากสินเชื่อที่เติบโตขึ้นและสำรองหนี้ที่ลดลง อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัยเริ่มมีมุมมองเชิงระมัดระวังมากขึ้นต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากปัญหาเงินเฟ้อ, ความไม่สงบภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างยูเครนและรัสเซีย จึงอาจบั่นทอนสินเชื่อและเพิ่มแรงกดดันต่อการสำรองหนี้ฯในอนาคตจากนี้ แต่ยังเลือก BBL และ KBANK เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มเนื่องจากงบดุลที่ยืดหยุ่นพร้อมกับการเติบโตของกำไรและราคาหุ้นไม่แพง

นอกจากนี้ยังคงจับตาปัจจัยอื่นในวันศุกร์ใกล้ถึงนี้ 2 ปัจจัย ได้แก่ การรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทย และการแถลงของประธาน FED โดยประเมินกรอบ SET ทั้งสัปดาห์ 1650-1680 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นระมัดระวังต่อการลงทุนควรเพิ่มการถือครองเงินสดเนื่องจากกังวลถึง Valuation ที่แพงและการปรับลดประมาณการช่วงถัดไป ระยะสัปดาห์แนะค้าปลีก ได้แก่ BJC, CRC, CPALL มองเป็นกลุ่มที่ผลกระทบน้อยสุดทั้งจากเงินเฟ้อและปัจจัยต่างประเทศ รวมถึงสื่อสาร ได้แก่ ADVANC, INTUCH  และโรงพยาบาล ได้แก่ BCH, CHG

อย่างไรก็ดีหุ้นเด่นยังคงแนะ BJC คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท ประเมินผลประกอบการจะค่อยๆดีขึ้นในปี 2565 จากจุดต่ำสุดในปี 2564 หนุนจาก 1) ผลประกอบการ BigC ที่ดีขึ้น 2) ยอดขายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ฟื้นตัวที่แข็งแกร่งทั้งในไทยและเวียดนาม 3) รายได้ค่าเช่าฟื้นตัวจากการให้ส่วนลดค่าเช่าที่ลดลง

พร้อมด้วย INTUCH แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 82 บาท เริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ได้ประโยชน์จาก ADVANC ที่เป็นผู้เล่นดีที่สุดในอุตสาหกรรม ขณะที่ ADVANC ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่ดีขึ้น ส่วนธุรกิจ THCOM แม้มีแนวโน้มไม่ดีแต่ไม่มีนัยต่อการประเมินมูลค่า

Back to top button