“ทรงกลด” แนะเก็บ 8 หุ้น Defensive ช่วง SET ปรับฐานก่อนรีบาวด์ทะลุ 1,800 จุด

“ทรงกลด” จัดกลยุทธ์ลงทุนรับ SET ปรับฐาน ดักเก็บ 8 หุ้น Defensive นำโดย PTTEP, SCB, EA, BH, CKP, INTUCH, SINGER, และ SPRC ก่อนดัชนีรีบาวด์แรงครึ่งปีหลังทะลุ 1,800 จุด


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และนายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์กลยุทธ์ว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคม 2565 ว่า การย่อตัวของตลาดหุ้นในเดือนนี้จะเป็นการสร้างฐานสำหรับอัพไซด์ที่สูงขึ้นในเดือนมิถุนายน

ตลาดหุ้นไทยปรับฐานก่อนรีบาวน์แรงในครึ่งหลังปี 2565 โดย FSSIA เชื่อว่าการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อที่อั้นไว้จากการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิดเริ่มเบาลง โดยเชื่อว่ากุญแจสำคัญสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะมาจากการกลับมาของการท่องเที่ยว และการส่งออกที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะนำไปสู่เงินทุนที่ไหลออก แต่ FSSIA ยังเชื่อว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีเอกลักษณ์ของไทยที่แข็งแกร่งจะรักษา และดึงนักลงทุนใหม่ๆเข้ามาได้จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ  การค้าขายที่สูงขึ้น (จากการส่งออก) และรายได้จากภาคบริการ (ท่องเที่ยว)

ดาวน์ไซด์จากปัจจัยพื้นฐานและเงินทุนต่างชาติ vs อัพไซด์จากการท่องเที่ยวและการส่งออก FSSIA ระบุว่าตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจจากปัจจัยพื้นฐาน และมูลค่าที่ดึงดูดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆอันเนื่องมาจาก 1.) อัตราการถือครองของต่างชาติที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 26% แสดงให้เห็นถึงดาวน์ไซด์ที่จำกัดต่อการเทขายของต่างชาติ และเงินทุนไหลออก 2.) ดาวน์ไซด์จำกัดจากการซื้อสุทธิจำนวน 3.6 พันล้านดอลลาร์ของต่างชาติใน SET Index ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 6 พ.ค.

โดยเน้นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น ท่องเที่ยว (MINT), โรงพยาบาล (BDMS, CHG, BH), การเงิน (KKP), บริหารสินทรัพย์ (SINGER, JMT, MTC), สถานีน้ำมัน (ESSO), BCP, อาหารและเครื่องดื่ม (OSP) ผลักดันโดยทิศทางการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2565-2566  3) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อ GDP ที่สูงถึง 41% ของ GDP เมื่อสิ้นปี 2564 4) มีอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Debt-to-GDP) ที่ต่ำอยู่ที่ 38% เมื่อสิ้นปี 2564 และ 5) มีความทนทานต่อการอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีส่วนต่างระหว่างไทย และสหรัฐอยู่ที่ 1.50-2.0% บนพื้นฐานของตัวเลขในอดีต

โดยภายใต้แนวคิด “ปล่อยให้บอลลูนตลาดหุ้นสหรัฐแฟบ” (มูลค่าใน Dow Jones, S&P 500 และ NASDAQ ยังแพงอยู่) FSSIA เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะ Outperform ตลาดหุ้นสหรัฐในปี 2565 จาก 1) มูลค่าของ SET Index นั้นน้อยกว่าสหรัฐ 2) มุมมองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงดูดีจากงบดุลที่แข็งแกร่ง 3) ดาวน์ไซด์จำกัดสำหรับเงินทุนต่างชาติขนาด 3.6พันล้านดอลลาร์เนื่องจากการลงทุนที่มีการเติบโตสูง และความเสี่ยงจำกัด 4) ความเปลี่ยนแปลงทางการเติบโตของเศรษฐกิจระหว่างไทย และสหรัฐ ซึ่งอาจช่วยจำกัดดาวน์ไซด์ของ SET Index ได้ท่ามกลางการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐ

ทั้งนี้ FSSIA คงมุมมอง Overweight ต่อ SET Index และมองเป้าดัชนีที่ 1,854 จุด ภายในปีนี้ โดยเปลี่ยนกลยุทธ์ลงทุนในกลุ่ม Defensive สำหรับเดือน พ.ค. 2565 ยกให้ PTTEP, SCB, EA, BH, CKP, INTUCH, SINGER, และ SPRC เป็นหุ้นท็อปพิก

สำหรับบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ  PTTEP ราคาเป้าหมาย 176 บาท FSSIA เชื่อว่า การเติบโตของกำไรของ PTTEP ในไตรมาส 2/2565 และปี 2565 จะแข็งแกร่ง ขับเคลื่อนโดย 1) ปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้นจาก G1/G2 และ Algeria 2) ASP สูงขึ้นจากราคาของเหลว และก๊าซที่เพิ่มขึ้น 3) โครงสร้างที่มีต้นทุนต่ำ

โดย PTTEP ระบุว่าการผลิตของ G1 จะเพิ่มขึ้นจาก 250kboed ในไตรมาส 2/2565 เป็น 400kboed ในปลายปี 2565 และเพิ่มเป็น 600kboed ในปี 2565 และ 800kboed ในเมษายน ปี 2567

ส่วนบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ราคาเป้าหมาย 160 บาท FSSIA คาดกำไรของ SCB ในไตรมาส 2/2565 จะเพิ่มขึ้นขอย่างมาก เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ค่อนข้างคงที่ เทียบไตรมาสก่อนหน้า จาก 1) ตั้งสำรองที่ลดลงจาก CDR และ 2) มีการควบคุมต้นทุนที่ดี

ด้านบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ราคาเป้าหมาย 122 บาท FSSIA เชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงของ EA ในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากปัจจัยที่ไม่สมเหตุสมผลจากความกังวลของนักลงทุน โดยมองว่าการปรับฐานของราคาหุ้นเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าเก็บหุ้นก่อนที่บริษัทจะประกาศงบการเงินที่มีการเติบโตสูงจากธุรกิจ EV และแบตเตอรี่

ด้านบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ราคาเป้าหมาย  205 บาท FSSIA คาดว่าการดำเนินงานของ BH ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังเปิดประเทศ

ขณะที่บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CKราคาเป้าหมาย 6.60 บาท FSSIA เลือก CKP เป็นหุ้นท็อปพิกจาก 1.) โมเมนตัมการเติบโตของกำไรระยะสั้นแข็งแกร่ง และชัดเจนจากไฮซีซั่นในครึ่งปีแรก 2565 ของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรี   2.) ในระยะยาว CKP มีโครงการสร้างการเติบโตด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบางที่มีกำลังผลิต 1.4GW โดยมีสัดส่วนการถือครองหุ้นในโครงการ 42% เทียบกับการถือครอง 37.5% ในไซยะบุรีที่มีกำลังผลิต 1.2GW

ส่วนบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH  ราคาเป้าหมาย 86.80 บาท  เป็นหุ้นปันผลที่มีความน่าดึงดูดมากที่สุดในกลุ่ม ICT โดยคาดว่ายีลด์ปีนี้จะอยู่ที่ 4% จาก ADVANC ที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง และคาดว่า THCOM จะไม่เป็นภาระอีกต่อไป  พร้อมระบุว่าในขณะนี้ INTUCH มีความน่าสนใจกว่า ADVANC เมื่อเทียบยีลด์ปันผลของ ADVANC ที่ 3.4%

ด้านบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ราคาเป้าหมาย 74.00 บาท FSSIA มองว่า SINGER เพิ่งเข้าสู่การเติบโตของ S-curve ใหม่ หลังปลดล็อกแหล่งเงินทุนก็ได้ใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพในสินเชื่อใหม่ โดย FSSIA คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตอย่างน่าประทับใจ 7.7% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 1/2565 ซึ่งจะทำให้มีกำไรสุทธินิวไฮ และคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 78% ในปี 2565 โดยมีโมเมนตัมเชิงบวกทุกไตรมาส และในปี 2566 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นอีก 37%

โดยล่าสุด SINGER ผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 1/2565 ประสบความสำเร็จ ทำนิวไฮสูงสุดอีกครั้ง กำไรสุทธิอยู่ที่ 215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ปิดท้ายบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ราคาเป้าหมาย 14 บาท เป็นหุ้นท็อปพิกในกลุ่มโรงกลั่นจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้น โดยระบุว่า SPRC เป็นหุ้นโรงกลั่นเต็ม 100 ในประเทศไทยที่มีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

Back to top button