CIMBT แนะรับมือ 6 ปัจจัยเสี่ยง ฉุดเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง

CIMBT แนะรับมือ 6 ปัจจัยเสี่ยงกระทบเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง จับตาเงินเฟ้อไตรมาส 3/65 พุ่งแตะ 10% บาทอ่อนทะลุ 36 บ.


นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 65 ต้องรับมือกับ 6 ความท้าทายหลัก ได้แก่ 1. เงินเฟ้อพุ่งทะลุ 10% กดดันการบริโภค 2. เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หากเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยแรงต่อเนื่อง 3. การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ ส่งผลให้นักลงทุนชะลอโครงการใหม่ 4. ปัญหาความขัดแย้งในยุโรปรุนแรงขึ้น หนุนราคาน้ำมันพุ่งสูง 5. สหรัฐเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยเร็ว แต่เงินเฟ้อยังสูง เฟดจำต้องขึ้นดอกเบี้ยแม้การว่างงานพุ่ง 6. จีนต้องล็อกดาวน์อีกรอบหลังมีการระบาดของโควิดในหลายเมือง ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอหนักกระทบการส่งออกของไทย

ทั้งนี้ การเร่งตัวของราคาสินค้ากลุ่มอุปโภคและบริโภคที่มีต้นทุนจากน้ำมัน อาหารสัตว์ และการขนส่ง เงินเฟ้อสูงกดดันการบริโภคให้ชะลอหรือโตช้ากว่าที่น่าจะเป็น แม้ได้อานิสงส์จากการเปิดเมือง

อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อไตรมาส 3 น่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของปี และมีโอกาสแตะระดับ 10% ได้ จากราคาน้ำมันที่ยังสูง ราคาอาหารสด และที่สำคัญน่าจะเริ่มเห็นเงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์ หลังกำลังซื้อฟื้นตัวจากไตรมาส 2 รับการเปิดเมือง อีกทั้งจากฐานต่ำปีก่อน

นายอมรเทพ มองว่า เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตช้าในช่วงไตรมาส 3 ตามความเสี่ยงทั้ง 6 ประการ แต่ไม่น่าถึงขั้นถดถอย และมีโอกาสขยายตัวได้มากกว่าที่สำนักวิจัยฯ คาดไว้ก่อนหน้าที่ 3.1% โดยเฉพาะจากการเปิดเมืองที่เร็วในเดือนมิถุนายน และการกลับมาของนักท่องเที่ยวมากกว่าที่คาด มีโอกาสเห็น GDP ไทยครึ่งปีหลังขยายตัวมากกว่า 4% และต่อเนื่องไปปีหน้า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะถดถอยต้นปี 66 หลังขึ้นดอกเบี้ยแรงเพื่อชะลอการบริโภคและการลงทุน

ด้านอัตราการว่างงานน่าจะขยับขึ้น ลดความร้อนแรงของการปรับขึ้นค่าจ้าง ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์คาดว่าจะได้รับผลกระทบชัดเจน จากการที่ดอกเบี้ยกู้บ้านปรับขึ้นจาก 3% ในปีก่อนเป็นระดับ 6% เป็นการเคลื่อนไหวตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะเวลา 30 ปี ส่งผลให้คนชะลอซื้อบ้าน อีกทั้งยอดขายบ้านใหม่ที่ลดลง จะกระทบการจ้างงานกลุ่มก่อสร้างและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง

ในมุมเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบ หากสหรัฐเผชิญปัญหาเศรษฐกิจถดถอย เพราะการถดถอยทางเศรษฐกิจเป็นภาวะชั่วคราว เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ และสหรัฐน่าจะฟื้นตัวได้เร็วผ่านการลดดอกเบี้ย และการอัดฉีดทางการคลัง

ทั้งนี้ ผลกระทบต่อไทยจะผ่าน 3 ช่องทาง 1. การส่งออกชะลอตามอุปสงค์ตลาดโลก 2. การท่องเที่ยว ที่อาจโตช้าช่วงครึ่งปีแรก แต่อาจไม่มากหากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐไม่ลามไปยุโรปที่เป็นลูกค้าหลักของไทย และ 3. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก เช่น น้ำมัน เหล็ก สินค้าเกษตรน่าจะปรับย่อลง ซึ่งน่าจะสนับสนุนเงินเฟ้อไทยให้ลดลง แต่รายได้ภาคเกษตรอาจชะลอตัวเช่นกัน

“โดยรวมการถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ไม่ถึงขั้นรุนแรงเป็นวิกฤติรอบใหม่ และวัฏจักรเศรษฐกิจไทยต่างจากสหรัฐ เนื่องจากไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว เงินเฟ้อฝั่งอุปสงค์เริ่มมาในไตรมาส 3 การขึ้นดอกเบี้ยของไทยปีหน้ายังจำเป็น เพื่อลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ และน่าจะเห็นเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากกว่า 4% นับจากไตรมาส 3 ปีนี้ถึงปีหน้า” นายอมรเทพ ระบุ

สำหรับทิศทางค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่า แต่มีโอกาสจะกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งนายอมรเทพ ระบุว่า ในปัจจุบัน เงินบาทอ่อนค่าเหนือระดับ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดือนมิถุนายน หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 0.75% กระทบเงินไหลออก และมีโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในเดือนกรกฎาคม เพื่อดึงเงินเฟ้อในสหรัฐให้ลดลง ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดทุนไทย เงินบาทจึงมีโอกาสแตะระดับ 36.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม

อย่างไรก็ตาม หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ถึงจุดสูงสุด คงเห็นการลดลงของเงินเฟ้อเดือนต่อเดือนในช่วงต้นไตรมาส 3 โดยน่าจะเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในรอบเดือนกันยายน และอีก 0.25% ในสองรอบการประชุมในไตรมาส 4 ซึ่งปลายปีนี้น่าจะเห็นดอกเบี้ยสหรัฐที่ 3.5% ซึ่งการลดความแรงของการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ น่าเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และกลับมาลงทุนในไทย

สำนักวิจัยฯ มองว่า เงินบาทมีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาส 4 โดยเฉพาะหลังจากที่ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น เงินบาทน่าจะแตะระดับ 34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐปลายปีนี้ อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะขยับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นทุกรอบการประชุม คือ ในเดือนสิงหาคม กันยายน และพฤศจิกายน ที่น่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในช่วงปลายปีนี้ขยับจาก 0.5% ไปสู่ระดับ 1.25% เป็นอย่างน้อย และยังคงเพิ่มต่อเนื่องในปี 66 เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้ลดลง ซึ่งการเร่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทย น่าจะเพิ่มความน่าสนใจของสินทรัพย์ในรูปเงินบาท และส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง

“แม้เรามองเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากกว่า 4% ในช่วงครึ่งปีหลัง และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เสมือนแสงรำไรจากการเปิดเมือง และการฟื้นตัวด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค แต่เราอาจต้องตั้งรับกับความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ ทั้งของไทยและต่างประเทศ หรือพายุทั้ง 6 ลูกที่เตรียมกระหน่ำเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 และอาจทำให้เติบโตน้อยกว่าที่คาดได้” นายอมรเทพ ระบุ

Back to top button