FSSIA ชู 8 หุ้นท็อปพิกเดือนก.ย. รับน้ำมันพุ่ง-ท่องเที่ยวฟื้น-ดอกเบี้ยขาขึ้น

จัดพอร์ตลงทุนเดือนก.ย. FSSIA ชู 8 หุ้นท็อปพิก ได้ประโยชน์ใช้จ่ายในประเทศแกร่ง น้ำมันยืนสูง ท่องเที่ยวฟื้น-ดอกเบี้ยขาขึ้น นำทีมโดย PTG-SINGER-ADVANC-KBANK-BDMS-BA-AWC-TOP


นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)และตลาดหุ้นทั่วโลกจะเกิดการปรับฐานในช่วงเดือนก.ย.2565-ไตรมาส 1/66 หลังปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ค. จากการที่นักลงทุนกลับเข้ามาเล่นในตลาดหุ้นหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยในระดับที่เบากว่าคาด และราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้เงินเฟ้อผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์ยังคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวทำนิวไฮในช่วงหน้าหนาวที่จะถึงนี้จากอุปทานที่ตึงตัว และความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้แทนก๊าซ โดย FSSIA คาดว่าตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4/65 จะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,578 จุด-ถึง 1,718 จุด สนับสนุนโดยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการเติบโตของกำไรจากบริษัทจดทะเบียน

ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จีนจะกลายเป็นอัศวินขี่ม้าขาวสำหรับไทยที่จะช่วยให้การส่งออกเติบโตได้จากการเปิดประเทศของจีน โดยการส่งออกของไทยไปจีนมีมูลค่า 3.73 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2564 ซึ่งน้อยกว่าการส่งออกไปสหรัฐเพียง 4.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในครึ่งแรกปี 2565 ความห่างด้านมูลค่ากว้างออกเป็น 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากการล็อกดาวน์ของจีน อย่างไรก็ตาม FSSIA เชื่อว่าการนำเข้าของจีนจากไทยจะเร่งตัวขึ้นในปี2666  หลังกลับมาเปิดตลาดส่งออก

โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติมาที่ไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจาก 4,300 คนในเดือน ม.ค.65 เป็น 37,700 ราย ในช่วง 1-20 ส.ค.65 หรือราว 1 ใน 3 ของช่วงก่อนโควิด ทำให้ FSSIA มองว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้จะสูงกว่าที่รัฐบาลคาดไว้จาก 8-9 ล้านคน เป็น 10 ล้านคน  คิดเป็น 25% ของช่วงก่อนโควิดที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยถึง 40 ล้านคน และจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วกว่าคาด การใช้จ่ายของผู้บริโภค และเงินเฟ้อที่เบา ทำให้ตลาดหุ้นไทยเห็นการไหลเข้าของเม็ดเงินต่างชาติกว่า 5 พันล้านเหรีญ (นับตั้งแต่ต้นปี- 30 ส.ค.65) ซึ่งคาดว่าจะยังสูงต่อเนื่องไปในปี 66

จากปัจจัยดังกล่าว FSSIA ปรับดัชนีเป้าหมายของ SET Index ปี 65 ขึ้นเป็น 1,718 จุด จาก 1,629 จุด ซึ่งรวมทั้งตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น การขึ้นดอกเบี้ยของธปท. และอัพเกรดคาดการณ์ EPS ขึ้น 5.2% เป็น 106.4 บาทต่อหุ้นในปี 65 โดยหุ้นท็อปพิกในเดือนก.ย.ตลอดจนไตรมาส 4/65 จะเป็นบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายในประเทศที่แข็งแกร่ง ราคาน้ำมันที่สูง การท่องเที่ยว และอัตราดอกเบี้ย คือ PTG,SINGER, ADVANC, KBANK, BDMS, BA, AWC, และ TOP

บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ราคาเป้าหมาย 59 บาท  โดยคาดกำไรไตรมาส 3/65 ทำนิวไฮ จาก 1. สินเชื่อที่เติบโตสูงของจำนำทะเบียนรถ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และของใช้ในบ้าน (Electric and Home Appliance หรือ EAH) ,2.ยอดขาย EAH ที่สูงขึ้นเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการขยายสาขา แม้จะลดลงหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ,3.ค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยที่ต่ำหลังชำระหุ้นกู้ 1.5 พันล้านบาท ที่มีดอกเบี้ย 6.0% ไปในเดือนก.ค.

บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ราคาเป้าหมาน 16 บาท บริษัทมีแผนลดกองบิน และโฟกัสเส้นทางเกาะสมุยซึ่งมีผลตอบแทนสูงกว่าเส้นทางอื่นๆ และยังมีพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงได้ดีในธุรกิจอื่นๆ นอกจากนั้นแล้ว BA ยังมีแผนที่จะโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์สนามบินการบินกรุงเทพวห้กับกองทรัสต์ BAREIT ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุล และเพิ่มความพร้อมให้กับโครงการอู่ตะเภา

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ราคาเป้าหมาย 66 บาท เป็นหุ้นท่องเที่ยว 100% ของไทย ที่น่าจะสามารถจับเทรนด์การฟื้นตัวใน 2H22 ได้ โดยโรงแรมส่วนมากของ AWC เป็นระดับ luxury และกลุ่มตลาดบน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวก่อน และน่าจะมีผลกระทบจำกัดจากเงินเฟ้อ  โดย FSSIA คาดไตรมาส 4/2565 และไตรมาส 1/2566 จะเกินช่วงก่อนโควิดผลักดันโดย ADR ที่สูง

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS  ราคาเป้าหมาย 31 บาท โดย FSSIA เชื่อว่า BDMS จะได้รับประโยชน์จากอำนาจในการกำหนดราคา (Pricing Power) ทำให้มีค่าบริการที่สูงขึ้นเพื่อผลักดัน EBITDA มาร์จิ้นให้สูงกว่าช่วงก่อนโควิด นำโดยอัตราการใช้งานที่สูง FSSIA คาดว่า BDMS จะมีการเติบโตรายได้ที่แข็งแกร่ง และคาดจะมีอัตราการใช้งานที่สูงในระดับ 70% ในปี 65 (vs 67% ในปี 62) ด้าน EBITDA margin คาดอยู่ที่ 24% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 23% ในปี 64 และ 22% ในปี 62

โดยรวมแล้ว FSSIA คาดว่ากำไรหลักของ BDMS ในปีนี้จะกลับสู่ระดับช่วงก่อนโควิดที่ 1.01 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 31%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยมีอัพไซด์จากสถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อ และ EBIDTA margin ที่สูงกว่าคาด นอกจากนั้นแล้ว เงินทุนต่างชาติจะเน้นไหลเข้ากลุ่ม healthcare ของไทยอย่างเช่น BDMS ซึ่งเป็นหุ้น big-cap ในกลุ่ม

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาเป้าหมาย 192 บาท มีการขยายไปที่อินโดนีเซีย และตั้ง JV เพื่อเสริมความสามารถด้านการเติบโตระยะยาวด้วยความต้องการสินเชื่อที่สูง โดย FSSIA มองว่า KBANK เป็นหุ้นที่ทุนต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ราคาเป้าหมาย 70 บาท แม้จะมีขาดทุนจากการประกันความเสี่ยงอยู่มาก FSSIA มองว่ากำไรที่แข็งแกร่งจากน้ำมัน GRM และที่ว่างที่ยังเหลือสำหรับอัตราการใช้งานโรงกลั่นเพื่อรองรับความต้องการทั้งใน และนอกประเทศจะช่วยหนุนกำไรไตรมาส 3/65 เป็นต้นไป โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า GRM จะยังสูงอยู่ที่ระดับสูงกว่า 15 เหรียญ/บาร์เรลในปี 65

บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG  ราคาเป้าหมาย 18.30 บาท คาดกำไรจะฟื้นตัวต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 65 ผลักดันโดยปริมาณขายน้ำมันที่สูงขึ้นจากความต้องการในประเทศ 10-20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ,2.ค่าการตลาดเฉลี่ยที่สูงขึ้นในช่วง 1.8-1.9 บาท/ลิตร ในครึ่งหลังปี 65 ,3.กลยุทธ์ด้านนอนออย(non-oil) ด้วยการขยายร้าน โดยคาดว่า 60% ของ EBITDA จะมาจาก non-oil ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า เทียบกับ 20% ในตอนนี้

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC  ราคาเป้าหมาย 250 บาท ขณะที่การควบรวมยังไม่สมบูรณ์ และมีความเป็นไปได้ที่ NBTC จะปฏิเสธดีลนี้ โดยมองว่า ADVANC ยังคงเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งและมีความเสี่ยงดาวน์ไซด์น้อยกว่าคู่แข่ง และยังชอบ ADVANC ที่มีผู้ติดตาม(subscripber) สูง ที่จะช่วยซัพพอร์ตการเติบโตระยะยาว

Back to top button