ไทยพบ “โอมิครอน” สายพันธุ์ย่อย BA.2.3.20 แล้ว 2 ราย

“สธ.” ยืนยันพบผู้ป่วยโควิด-19 “โอมิครอน” สายพันธุ์ย่อย BA.2.3.20 ในไทยแล้ว 2 ราย ชี้มีแนวโน้มแพร่เชื้อเร็ว แต่ยังไม่มีข้อมูลความรุนแรง


นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ขณะนี้สายพันธุ์หลักที่พบยังเป็นโอมิครอน และการติดเชื้อส่วนใหญ่ยังเป็น BA.5 เช่นเดียวกับทั่วโลก อย่างไรก็ดี พบสายพันธุ์ย่อยที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุให้เฝ้าติดตามเพิ่มขึ้น เช่น XBB , BA.4.6 และ BQ.1 โดยแต่ละพื้นที่อาจพบการระบาดสายพันธุ์ที่ต่างกัน เช่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา รายงานแนวโน้มสายพันธุ์ BQ.1, BQ.1.1 เพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าสายพันธุ์ BQ.1 หรือ BQ.1.1 มีความรุนแรงกว่า BA.4 หรือ BA.5

ข่าวที่ระบุว่ามีสายพันธุ์ใหม่ ขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีสายพันธุ์ใหม่ โดยยังเป็นสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์ที่มีการระบาดก่อนหน้านี้ เช่น เดลตา อัลฟา แกมมา โอมิครอน” นพ.ศุภกิจ กล่าว

สำหรับสายพันธุ์ย่อยที่องค์การอนามัยโลกให้เฝ้าติดตาม โดยขณะนี้เริ่มพบในประเทศไทย เช่น

สายพันธุ์ BA.2.3.20 ซึ่งเป็นลูกหลานของ BA.2 มีการกลายพันธุ์อยู่หลายตำแหน่ง มีแนวโน้มแพร่เร็ว แต่ยังไม่มีข้อมูลความรุนแรง ขณะนี้พบในไทยแล้ว 2 ราย ทั้งคู่หายแล้ว

สายพันธุ์ BA.4.6 มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น เช่น BA.1, BA.2, BA.4 และ BA.5 พบว่ามีแนวโน้มหลบภูมิได้ดี เนื่องจากภูมิคุ้มกันของคนที่ได้รับวัคซีน หรือติดเชื้อมาก่อน ลบล้างเชื้อหรือฆ่าเชื้อ BA.4.6 ได้น้อยลงกว่าครึ่งหนึ่ง แสดงว่าคนที่ได้รับวัคซีนหรือเคยติดเชื้อมาจะได้ผลต่อ BA.4.6 น้อยลงไปครึ่งหนึ่ง โดยขณะนี้พบในไทยแล้ว 3 ราย

ส่วน AY.103 ซึ่งเป็นลูกหลานเดลต้า ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ เพียงแต่มีตำแหน่งกลายพันธุ์ที่เพิ่มจากเดลต้าเดิม ซึ่งยังไม่มีหลักฐานแสดงความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น และมีรายงานเข้าฐานข้อมูล GISAID เพียงรายเดียว จึงขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล ในส่วนของประเทศไทยยังไม่พบ

ทั้งนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (22- 28 ต.ค. 65) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เฝ้าระวังตรวจการกลายพันธุ์โควิด-19 จำนวน 143 ตัวอย่าง พบเป็นสายพันธุ์ BA.2 จำนวน 5 ราย สายพันธุ์ BA.4 หรือ BA.5 จำนวน 118 ราย และสายพันธุ์ BA.2.75 จำนวน 10 ราย และโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ 10 ราย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจ คือ พบ BA.2.75 ถึง 10 ราย ในบางพื้นที่ ซึ่งเดิมบางสัปดาห์พบเพียง 3-5 ราย ถือว่าเพิ่มขึ้น และจะต้องติดตามเฝ้าระวังต่อไป โดยอนาคตจะจับตาดู BQ.1 ว่าจะเพิ่มจำนวนเหมือนในยุโรป และสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ซึ่งจะต้องเพิ่มน้ำยาตรวจจำเพาะต่อสายพันธุ์ BQ ด้วย

โดยสรุปจำนวนสายพันธุ์ย่อยที่น่าสนใจ และองค์การอนามัยโลกระบุให้เฝ้าติดตาม ซึ่งประเทศไทยพบและได้เผยแพร่ในฐานข้อมูล GISAID ได้แก่ BF.5 พบ 6 ราย, BF.7 พบ 2 ราย, BQ.1 พบ 2 ราย, BE.1 พบ 5 ราย, BE.1.1 พบ 2 ราย, BN.1 พบ 9 ราย, BA.4.6 พบ 3 ราย, XBB.X พบ 5 ราย และ BA.2.3.20 พบ 2 ราย โดยข้อมูลดังกล่าวได้รายงานให้กรมควบคุมโรค เพื่อติดตามสอบสวนโรคต่อไป

สำหรับการกลายพันธุ์เป็นเรื่องปกติของไวรัส และมีการแตกลูกหลานจำนวนมาก ซึ่งยังไม่มีสัญญาณของความรุนแรงที่เพิ่มเติมจากปกติแต่อย่างใด ประกอบกับผู้คนในโลกมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น ทั้งจากการติดเชื้อและการฉีดวัคซีน ทำให้อัตราการเสียชีวิตลดน้อยลง

สำหรับประเทศไทยยังมีมาตรการป้องกัน ใส่หน้ากาก ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดยังมีความสำคัญในการช่วยลดการติดเชื้อ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวนี้อาจมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่าย ขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า จะทำหน้าที่เฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มข้น และไม่ลดน้อยถอยลง” นพ.ศุภกิจ กล่าว

Back to top button