AURA ปั้นแบรนด์ “ทองมาเงินไป” ปักธงพอร์ตลูกหนี้ขายฝากปี 66 ทะลุ 2.8 พันลบ.

AURA ลุยปั้นแบรนด์ “ทองมาเงินไป” เรือธงสร้างการเติบโต เดินเกมผนึกพันธมิตรต่อยอดธุรกิจ พร้อมพัฒนาแอปพลิเคชี่น สอดรับยุคดิจิทัล ปักเป้าปี 66 ขยายพอร์ตลูกหนี้ขายฝากทะลุ 2.8 พันลบ.


นายอนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของ AURORA แบ่งเป็น  2 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1. ธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณ เครื่องประดับ, ของขวัญที่ทำมาจากทองคำและเครื่องประดับเพชร 2. ธุรกิจขายฝากทองรูปพรรณ และเครื่องประดับที่มีทองคำและเพชรเป็นส่วนประกอบ (ธุรกิจขายฝาก) วางเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำร้านทองคำของประเทศไทย ผ่านการส่งมอบของขวัญแห่งความสุขที่มีคุณค่าครบวงจร และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งนำเสนอของขวัญที่มีคุณภาพและสร้างความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์ 5 แบรนด์ ได้แก่ AURORA, เซ่งเฮง, ทองมาเงินไป, ของขวัญ by AURORA และ AURORA Diamond ซึ่งปัจจุบันมีสาขาจำนวนทั้งสิ้น 266 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯและปริมณฑล 146 สาขา และในต่างจังหวัด 120 สาขา สร้างยอดขายรวมประมาณปีละ 30,000 ล้านบาท  พร้อมเดินหน้าขยายสาขาให้ครอบคลุมเป็น 409 สาขา ภายในปี 2567 เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มในทุกจังหวัดทั่วประเทศ

“AURORA วางเป้าหมายสู่การเป็น “ห้างค้าทอง Top of mind ที่ 1 ในใจของคนรุ่นใหม่” มุ่งสร้างความพึงพอใจในสินค้าให้กับลูกค้า ทั้งในรูปแบบดีไซน์ ความสวยงาม การบริการทั้งก่อนและหลังการขาย รวมทั้งขยายพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์สินค้า เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น พร้อมฉีกกรอบจากร้านทองสไตล์ครอบครัวสู่ห้างทองเทรนดี้ดีไซน์ จำกัดมหาชน ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยมุ่งเน้นผ่านธุรกิจขายฝากทองคำและอัญมณีมีค่ามากขึ้น ซึ่งปกติเป็นบริการที่สอดแทรกอยู่ในทุกร้านทอง เพียงแต่ AURORA เป็นเจ้าแรกที่เข้าไปโฟกัสและพัฒนาต่อยอดอย่างจริงจัง โดยเริ่มเปิดสาขาตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ เป็นครั้งแรกในปี 2562 ภายใต้แบรนด์ ทองมาเงินไป เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น” นายอนิพัทย์ กล่าว

ทั้งนี้ แบรนด์ “ทองมาเงินไป” เกิดจากแนวคิดที่ต้องการช่วยเหลือลูกค้าให้เข้าถึงแหล่งเงินได้ง่าย ในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมอย่างถูกกฎหมาย และสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งจากการเปิดให้บริการมากว่า 3 ปี เห็นได้ชัดว่าบริการนี้มีแนวโน้มที่ดี รายได้เติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 45% และมียอดผู้ใช้บริการมากกว่า 130,000 คน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนในวงกว้าง ทำให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเงินแบบฉับพลัน หลายคนรายได้ลดลงแต่รายจ่ายเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น บริการขายฝากทองมาเงินไป จึงเป็นทางออกให้กับกลุ่มคนที่มีปัญหาทางการเงิน ด้วยจุดเด่นกับแนวคิดในการให้บริการที่ชัดเจน ได้แก่ 1.ให้วงเงินสูง 2. ไม่ต้องมีคนค้ำ รับเงินสดได้ทันที 3. ดอกเบี้ยต่ำเพียง 1.25% ต่อเดือน 4. มีสาขาให้บริการมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ ทำให้ทองมาเงินไป ได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีทรัพย์สินเป็นทองคำ และต้องการเปลี่ยนเป็นเงินสด

นอกจากนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าอย่างสูงสุด และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล AURORA ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “ทองมาเงินไป” ให้เป็นช่องทางใหม่ในการรับบริการชำระดอกเบี้ย, เช็คสถานะสัญญาขายฝากทองได้ทุกที่และทุกเวลา, ชำระอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสัญญา, เช็คราคารับขายฝากทองแบบเรียลไทม์, ค้นหาห้างเพชรทองออโรร่า และทองมาเงินไปสาขาใกล้เคียง พร้อมรับรู้ข่าวสารดี ๆ โปรโมชันสำหรับผู้ใช้บริการมากมาย (News and Promotion) รวมถึงแจ้งเตือนลูกค้าสำหรับสัญญาที่จะหมดอายุ เพื่อป้องกันทรัพย์สินหลุดขายฝาก (Notification Alert) ซึ่งเป็นบริการที่ทำให้การขายฝากทองคำง่ายและสะดวกขึ้น ลูกค้าสามารถชำระดอกเบี้ยได้โดยไม่ต้องมาที่สาขา

โดยกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้แบรนด์ “ทองมาเงินไป” เติบโตอย่างก้าวกระโดดคือ การมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งในปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปี 2566 บริษัทได้จับมือกับพาร์ทเนอร์มากมาย อาทิ ร่วมกับร้าน CJ MORE พัฒนาโมเดลการขยายธุรกิจ, ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยพัฒนาเทคโนโลยีการชำระเงิน และล่าสุดร่วมกับ LINE BK ออกโปรโมชั่นส่งมอบความพิเศษให้กับผู้ใช้งาน LINE BK ผ่านทาง LINE Official Account โดยเมื่อผู้ใช้งานได้รับข้อความ และเข้าใช้บริการขายฝากทองคำที่ห้างเพชรทองออโรร่าในห้างทุกสาขา หรือร้านทองมาเงินไปในชุมชนใกล้บ้าน ภายใน 120 วัน จะได้รับวงเงินพิเศษเพิ่ม 2% จากราคาขายฝาก  เริ่มตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคม 2566 ปัจจุบันได้ผลตอบรับที่ดี มีกลุ่มลูกค้าของ LINE BK ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ “ทองมาเงินไป” ยังอยู่ในช่วงการเจรจากับพาร์ทเนอร์อื่น ๆ เพื่อหาแนวทางร่วมธุรกิจกัน โดยมีโจทย์เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า

สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของ “ทองมาเงินไป” ส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง และกว่า 90% เป็นกลุ่มคนวัยทำงาน อายุระหว่าง 28-45 ปี มีอาชีพรับจ้างทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า อาชีพอิสระ ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มพนักงานหรือลูกจ้างเอกชนที่มีทรัพย์เป็นทองคำ และต้องการเปลี่ยนทองคำเป็นเงินสด เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินชั่วคราว หรือต่อยอดธุรกิจ โดยลูกค้าเข้ามาใช้บริการสูงสุดในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม และตุลาคม เนื่องจากเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ ซึ่งผู้ปกครองมีความต้องการใช้เงิน และพบข้อมูลที่น่าสนใจระบุว่า กลุ่มลูกค้าขายฝากที่ทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันจะมีรอบการต่อดอกเบี้ยยาวนานที่สุด ถือเป็นจุดเด่นและข้อได้เปรียบของบริษัทที่จะนำไปพัฒนาบริการ เพื่อเสนอบริการอื่น ๆ ให้กับกลุ่มลูกค้านี้ได้อีกในอนาคต

“ในปี 2566 เราตั้งเป้าหมายขยายพอร์ตลูกหนี้ขายฝากของทองมาเงินไปให้เติบโตมากกว่า 2,800 ล้านบาท ผ่านกลยุทธ์ Customer centric ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นสำคัญ พัฒนาบริการทุกด้าน เพิ่มความแข็งแกร่งเรื่องบริการให้กับพนักงานประจำสาขา เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า รวมถึงพัฒนาช่องทางการให้บริการอย่างครอบคลุมเข้าถึงทุกกลุ่มลูกค้า

โดยเน้นขยายสาขาให้เข้าถึงแหล่งชุมชนมากขึ้น ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งความท้าทายในธุรกิจนี้คือ ต้องปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ พร้อมพัฒนาบริการและปรับตัวอยู่เสมอ ทั้งยังต้องมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ มาเสริมทัพให้บริษัทมีความแข็งแกร่ง เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน และในฐานะของทายาทรุ่นที่ 3 ถือเป็นความโชคดีที่เรามีโอกาสเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเจอวิกฤตต่าง ๆ ก็จะมีผู้มากประสบการณ์ให้คำปรึกษา ทำให้แก้ปัญหาได้อย่างดี” นายอนิพัทย์ กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button