สธ. สั่งเฝ้าระวัง “ไวรัสมาร์บวร์ก” ชี้โรคติดต่อร้ายแรง ดับสูง 88%

กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สั่งเฝ้าระวัง "ไวรัสมาร์บวร์ก" ชี้โรคติดต่อร้ายแรง ดับสูง 88% แนะป้องกันตามหลักโควิด-19 คือ การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือ


วันนี้(16ก.พ.66) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ระหว่างตรวจความพร้อมอาคารกักกัน (Quarantine center) กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค สถาบันบําราศนราดูร ถึงการประกาศเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg virus disease) ว่า สำหรับโรคมาร์บวร์ก เป็นโรคที่เคยเจอในต่างประเทศ แต่ยังไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน แต่ด้วยความรุนแรงของโรคทำให้ไทยจัดเป็น 1 ใน 13 โรคติดต่ออันตราย

ดังนั้น การประกาศพบผู้ป่วยครั้งนี้ จึงไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ จากการติดตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) แจ้งว่าขณะนี้พบผู้ป่วยมากขึ้นในประเทศอิเควทอเรียลกินี (Equatorial Guinea) และแอฟริกากลาง แต่ได้รับการช่วยเหลือควบคุมโรคแล้ว

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยก็เตรียมการเฝ้าระวัง คือ 1.ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ คัดกรองผู้เดินทางจากต้นทางประเทศอิเควทอเรียลกินี และประเทศในแอฟริกากลาง ซึ่งตามระบบปกติผู้เดินทางจากแอฟริกา จะต้องคัดกรองโรคไข้เหลือง พร้อมบันทึกข้อมูลการพำนักในไทยอยู่แล้ว

ดังนั้นจึงมีระบบที่สามารถเฝ้าระวังโรคมาร์บวร์กเพิ่มเติมได้ และ 2.ข้อมูลผู้ที่เดินทางจากประเทศในแอฟริกากลาง จะต้องต่อเครื่องที่เอธิโอเปียและเคนยา โดยปกติจะมีผู้เดินทางน้อยมาก ข้อมูลช่วงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 – วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 มีผู้เดินทางเข้าไทย 13 คน แต่ตอนนี้ให้ยกระดับการติดตามข้อมูล

“ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณที่จะเข้ามาถึง แต่ให้ยกระดับการติดตามข้อมูล ซึ่งธรรมชาติของโรคที่มีความรุนแรงสูง อย่างโรคมาร์บวร์ก อัตราเสียชีวิตร้อยละ 88 ดังนั้นเมื่อเสียชีวิตสูง โรครุนแรง ก็จะไม่แพร่กระจาย โรคจะจบเร็ว แต่เราก็ไม่ประมาท ต้องเฝ้าระวัง” นพ.ธเรศ กล่าว

นพ.ธเรศ กล่าวต่อไปว่า สำหรับโรคมาร์บวร์ก เป็นโรคติดต่อผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ เลือด และอุจจาระ โดยระยะการฟักตัวของโรค 2-21 วัน มักจะแสดงอาการในระยะเวลา 7 วัน เช่น ไข้สูง อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกตามอวัยวะ ท้องร่วง จากนั้นจะเสียชีวิต ทั้งนี้ โรคนี้ยังไม่มียาหรือวัคซีนรักษา จะใช้การรักษาตามอาการของโรค อย่างไรก็ตาม การป้องกันยังใช้ตามหลักของโควิด-19 ได้ คือ การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือ

Back to top button