PTG กางโรดแมป 5 ปี ลุยผุดปั๊ม 2,406 แห่ง ชิง “มาร์เก็ตแชร์” ค้าปลีกน้ำมัน 25%
PTG กางแผนธุรกิจ 5 ปี(66-70) ลุยธุรกิจน้ำมัน-นอนออยล์ โตยั่งยืนทุกมิติ วางเป้าเปิดปั๊ม 2,406 แห่ง หวังชิงมาร์เก็ตแชร์ค้าปลีกน้ำมัน 25% ปักธงกาแฟพันธุ์ไทยทะลุ 5 พันสาขา สมาชิก Max Card ทะลุ 30 ล้านราย เพื่อยกระดับสถานีบริการ PT ตอบโจทย์ลูกค้าให้ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านของช่วงชีวิต ย้ำ“อีบิทด้า” ปีนี้โต 8-12% ทุ่มงบ 5-6 พันล้าน เน้นลงทุนนอนออยล์
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนธุรกิจ 5 ปี(66-70) ขยายธุรกิจน้ำมัน-นอนออยล์(Oil & Non-Oil) ให้เติบโตและยั่งยืนทุกมิติ เพื่อเป็นการยกระดับสถานีบริการ PT ยกระดับการบริการ PT Service Master ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ “อยู่ดี มีสุข”
สำหรับเป้าหมายในระยะ 5 ปีข้างหน้า บริษัทจะชิงส่วนแบ่งตลาดธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน (Retail Oil Market Share) ให้เพิ่มขึ้นเป็น 25% จากการเดินหน้าขยายสาขาสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 2,406 สาขา ในปี 70 อีกทั้งวางเป้าเพิ่มจำนวนสมาชิก Max Card ให้เป็นกว่า 30 ล้านราย ครอบคลุมคนไทยทั่วประเทศ และขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทยให้เป็นกว่า 5,000 สาขา และคาดว่าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในปี 68 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนราว 1 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 65 บริษัทจะมีจำนวนสถานีบริการน้ำมัน PT อยู่ที่ 2,149 สถานี แบ่งเป็น สถานีบริการฯ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ (COCO) จำนวน 1,809 สถานี และสถานีบริการฯ ที่เป็นของผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิจากบริษัทฯ (DODO) จำนวน 340 สถานี โดยตั้งเป้าปี 70 สถานีบริการน้ำมัน PT เพิ่มเป็น 2,406 สาขา
ส่วนธุรกิจ Non-Oil ณ สิ้นปี 65 จำนวนสาขารวมอยู่ที่ 1,526 สาขา โดยแบ่งเป็น 1 ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และร้านคอฟฟี่ เวิลด์จำนวน 537 สาขา และตั้งเป้าปี 70 เพิ่มเป็น 5138 สาขา, 2.สถานีบริการ Auto LPG จำนวน 231 สถานีบริการ โดยตั้งเป้าปี 70 เพิ่มเป็น 319 สาขา ,3.ร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง (Gas Shop) จำนวน 253 สาขา ตั้งเป้าปี 70 เพิ่มเป็น 880 สาขา, 4.ร้านสะดวกซื้อ Max Mart จำนวน 309 สาขา ตั้งเป้าปี 70 เพิ่มเป็น 577 สาขา,5.ศูนย์บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ Autobacs จำนวน 45 สาขา ตั้งเป้าปี 70 เพิ่มเป็น 334 สาขา,6.ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมัน Maxnitron Lube Change จำนวน 52 สาขา โดยตั้งเป้าปี 70 เพิ่มเป็น 300 สาขา, 7.จุดพักรถ Max Camp จำนวน 64 จุด โดยตั้งเป้าปี 70 เพิ่มเป็น141 สาขา,และ8. สถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging) จำนวน 35 จุดชาร์จ โดยตั้งเป้าปี 70 เพิ่มเป็น 180 สาขา
อย่างไรก็ตาม PTG จะยกระดับสถานีบริการน้ำมัน PT ใน 3 มิติ ได้แก่ 1. Expansion and Renovation โดยเดินหน้าขยายสาขาทั้งหมดปีนี้สู่ 2,206 สาขา 2.Service Innovation โดยการยกระดับการให้บริการ บริษัทจัดตั้ง PT Service Master นมาเพื่อให้คำแนะนำลูกค้า อีกทั้งยังมี Max Camp ให้ลูกค้าได้เข้าพักผ่อนระหว่างเดินทาง ให้บริการฟรีสำหรับสมาชิก Max Card และ 3. Data Optimization โดยการรวบรวมความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่าง ๆ ผ่านทางฐานสมาชิก Max Card, Max Card Plus, Max Me และ Max Enterprise Connect เพื่อนำเสนอ Data-Driven Offerings and Promotions ให้ตรงใจ และตรงความต้องการลูกค้ามากที่สุด
สำหรับแผนงานในปี 66 บริษัทตั้งเป้ากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโต 8-12% จากปีก่อนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 5,000 ล้านบาท เป็นไปตามสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil ที่เพิ่มขึ้น หรือมาที่ 20-30% จากปีก่อน 18.5% และธุรกิจค้าปลีกน้ำมันคาดปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจะเติบโต 8-12% จากปีก่อนทำได้ 5,316 ล้านลิตร และปริมาณการขายก๊าซ LPG เติบโต 40-60% ตามดีมานด์ที่ฟื้นตัวหลังจีนเปิดประเทศเร็วกว่ากำหนด ขณะที่ค่าการตลาดก็ปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าธุรกิจ Non-Oil ยอดขายจะเติบโตพุ่งถึง 80-90% ตามการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
โดยบริษัทวางงบลงทุนปี 66 ไว้ที่ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 1.ขยายธุรกิจ Non-Oil ราว 2,000-2,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายสาขาร้านกาแฟพันธ์ไทย และ คอฟฟี่ เวิลด์ ปีนี้เพิ่มเป็น 1,523 สาขา, ร้านสะดวกซื้อ Max Mart เพิ่มเป็น 369 สาขา, ร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง (Gas Shop) เพิ่มเป็น 323 สาขา, สถานีอัดบรรจุไฟฟ้า (EV Charging) เพิ่มเป็น 65 จุดชาร์จ เป็นต้น
2.ลงทุนในธุรกิจใหม่ ราว 1,500-2,000 ล้านบาท รองรับการขยายแพลตฟอร์ม และธุรกิจพลังงานทดแทน โดยมีแผนขยายโซลาร์รูฟท็อป เพิ่มเป็น 6 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีอยู่ 1.8 เมกะวัตต์ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และ 3.ลงทุนธุรกิจน้ำมันราว 1,000-1,500 ล้านบาท ขยายสถานีบริการฯ สู่ 2,206 สาขา
นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า แผนการนำบริษัทย่อยและบริษัทร่วมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ว่า ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ภายใต้ บมจ.พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ (PPPGC) อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปี 66 อย่างแน่นอน และเตรียมยื่นไฟลิ่งธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG ภายใต้ บริษัท แอตลาส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ในไตรมาส 2/66 ส่วนธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย คาดว่าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในปี 68 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนราว 1 พันล้านบาท
ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจ Non-Oil ของ PTG มีการเติบโตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น จำนวน Touch point ที่เติบโต 36% เทียบช่วงปีก่อน และมี CAGR 5 ปีเฉลี่ยสะสมที่ 34% รายได้เติบโต 68% เทียบช่วงปีก่อน และ CAGR 5 ปี ที่ 37% กำไรขั้นต้นเติบโต 50% เทียบช่วงปีก่อน และ CAGR 5 ปี ที่ 36% และสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปีมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ Non-Oil ที่ 18.5% ซึ่งเป็นไปตามที่เรามองไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 15-20%
ส่วนโครงการ Solar Rooftop เป็นการลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างลงทุนและซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA กับบริษัทฯ และจะขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศต่อไปในอนาคต ปัจจุบันโครงการนี้มีมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 300 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตไฟฟ้า ทั้งเฟส 1-4 โดยรวมประมาณ 8.171 MW
โดยในปัจจุบันเฟส 1 และ 2 ได้ดำเนินการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว โดยปีนี้มีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 6.291 MW คาดว่าปี 67 จะลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า 9.5 ล้านหน่วยต่อปี และคาดว่าจะลดค่าใช้จ่าย 40-50 ล้านบาท รวมทั้งช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 4.237 ล้านตันต่อปี (EPPO ref:การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยการใช้ไฟฟ้า (kWh) :0.446)
ในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะเพื่อชุมชน ณ เทศบาลเมืองบ้านพรุ มีขนาด 4.5 MW ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเสริมธุรกิจ Renewable Energy ของบริษัทฯ และส่งเสริมมิติสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG ของบริษัทฯ ซึ่งมีมูลค่าโครงการโดยประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 3/66 และเปิด COD ได้ในปี 68
โดยผลประโยชน์ที่บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับ คือสามารถลดปริมาณขยะสะสมได้ 2-3 ล้านตัน คาดว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมได้ 4-5 ล้านตัน และสร้างงานสร้างโอกาสให้คนอีก 100 ตำแหน่ง ทั้งหมดนี้เพื่อเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านของช่วงชีวิต”