JASIF ลุ้น Q2 ฟื้นตัว รายได้ค่าเช่าหนุน คาดดันกำไรปีนี้ทะลุ 5 พันล้าน

JASIF ลุ้นผลงานไตรมาส 2/66 ฟื้นตัว รายได้ค่าเช่าหนุนเด่น คาดดันกำไรปีนี้แตะ 5.37 พันล้าน โบรกแนะถือรอรับปันผล 0.23 บาทต่อหน่วยลงทุน พร้อมเคาะเป้า 8.38 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์(10 พ.ค.66) ว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF รายงานขาดทุนสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 1.43 พันล้านบาท หรือพลิกกลับจากกำไรสุทธิ 6.1 พันล้านบาทในไตรมาส 1/65 และขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 81% หากไม่รวมผลขาดทุนที่ยังไม่ได้รับรู้จริงจากการตีมูลค่าสายใยแก้วนำแสงใหม่จำนวน 3.7 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/66 กำไรหลักในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.27 พันล้านบาท เติบโต 3% ทั้ง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ในไตรมาส 1/66 ไม่ถูกนำมาคำนวณในการจ่ายเงินปันผลต่อหน่วยแต่อย่างใด ผลประกอบการบรรทัดสุดท้ายต่ำกว่าที่เราคาดก่อนหน้าเป็นกำไรสุทธิ 2.26 พันล้านบาท เนื่องจากรายการพิเศษขาดทุนจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ที่ยังไม่รับรู้จริง (ซึ่งเราไม่ได้นำมารวมในประมาณการของเราก่อนหน้า) แต่กำไรหลักตรงตามคาด

ด้านบริษัทประกาศเงินปันผลต่อหน่วยในไตรมาส 1/66 ที่ 0.23 บาท/หน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 81.1(ของกำไรหลัก)) ซึ่งตรงกับที่เราคาดก่อนหน้าโดยกำไรหลักที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น 3% ซึ่งไปอิงกับอัตราเงินเฟ้อในปี 2564 ที่ 6.08% และเนื่องจากอัตราค่าเช่าที่จะถูกนำมาใช้ปี 2566 จะต้องไม่เกิน 3% หรือต่ำกว่า 0% ดังนั้นอัตราค่าเช่าที่ 3% จึงถูกนำมาใช้กับอัตราค่าเช่าเฉลี่ยสำหรับในปี 2566 รายได้ค่าเช่าในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.64 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% ทั้งเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า (เนื่องจากอัตราค่าเช่าที่ปรับขึ้น 3%)

ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและค่าสิทธิแห่งทางที่เพิ่มขึ้น) และ 24% เทียบไตรมาสก่อนหน้า (เนื่องจากมีการกลับรายการค่าสิทธิแห่งทางที่บันทึกเกินในไตรมาส 4/65) ค่าใช้จ่ายด้านกองทุนรวมในไตรมาสนี้ลดลง 4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 30% เทียบไตรมาสก่อนหน้า (เนื่องจากค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนและค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ลดลง)

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2/66 ประมาณการรายได้ค่าเช่าที่ 2.64 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวเทียบไตรมาสก่อนหน้า และกำไรหลักที่ 2.27 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและทรงตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า ประมาณการเงินปันผลต่อหน่วยที่ 0.23 บาท/หน่วย ในไตรมาส 2/66 คาดอัตราการเติบโต 3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จะถูกนำไปใช้กับรายได้ค่าเช่า และกำไรหลักในช่วงไตรมาส 3/66 ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/66 หากประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม เรามองว่าเงินปันผลต่อหน่วยรายไตรมาสคาดว่าจะอยู่ที่ 0.23 บาท/หน่วยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

อย่างไรก็ตามได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ลงอีก 41% (เหลือ 5.37 พันล้านบาท) เพื่อสะท้อนขาดทุนที่ยังไม่ได้รับรู้จริงจากการตีมูลค่าสายใยแก้วนำแสงใหม่จำนวน 3.7 พันล้านบาท แต่ไม่ว่าอย่างก็ตามยังคงประมาณการกำไรนักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์หลักในปี 2566 ไว้เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงที่ 9.09 พันล้านบาท การคาดการณ์เหล่านี้อยู่บนสมมติฐานของอัตราเงินเฟ้อและอัตราค่าเช่าที่ 3% ในปี 2566 และ 0.5% ในปี 2567 และในปีต่อๆไป แนะนำถือราคาเป้าหมาย 8.38 บาท

Back to top button