WHA รับเต็มต่างชาติย้ายฐานผลิต ลุยเจรจา M&A เพิ่ม

WHA รับอานิสงส์ต่างชาติย้ายฐานผลิต มั่นใจทุกธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าเจรจา M&A เพิ่ม เชื่อนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทไม่กระทบลูกค้านิคมอุตสาหกรรม


นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 26 พ.ค.66 ว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 โดยมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 2,440.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% และกำไรสุทธิ 522.7 ล้านบาท ลดลง 20.3% โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,420.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% และกำไรปกติ 505.0 ล้านบาท ลดลง 22.7% ทั้งนี้ในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการจำหน่ายสินทรัพย์ประเภทดาต้าเซ็นเตอร์จากธุรกิจดิจิทัล จำนวน 345 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นับรวมกำไรพิเศษดังกล่าวในไตรมาส 1/2565 กำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 63.6%

โดยธุรกิจโลจิสติกส์ ไตรมาสที่ 1/2566 เติบโตอย่างโดดเด่น รับอานิสงส์จากความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้สามารถลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าสำเร็จรูป เพิ่มสูงขึ้นจำนวน 64,228 ตารางเมตร พร้อมทั้งมีการทำสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงรวม จำนวน 88,608 ตารางเมตร ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมด 2,771,151 ตารางเมตร และมีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) โดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 90.4 จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ในไตรมาส 1/ 2566 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 249.6 ล้านบาท

โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 พื้นที่รวมกว่า 400 ไร่ เฟส 1 ในปีที่ผ่านมา ได้การตอบรับที่ดีโดยมีกลุ่มลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าในกลุ่มผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) และผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ส่วนเฟส 2 ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าให้ความสนใจและมีการจองพื้นที่เช่าเข้ามาแล้ว อาทิ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ผู้ประกอบการด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงลูกค้าผู้ผลิต/จำหน่ายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงและอาหารสัตว์ เป็นต้น ขณะที่ โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา-ตราด กม. 23 (ขาเข้า) ตอนนี้มีลูกค้าจองและลงนามในสัญญาเช่าล่วงหน้า ในการพัฒนา Showroom สำหรับแสดงสินค้าแบบ Built-to-Suit บนพื้นที่ของโครงการแล้ว”

ส่วนของธุรกิจ Office Solutions ปัจจุบันบริษัทฯ มีการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าสมัยใหม่ย่านใจกลางเมือง จำนวน 6 แห่ง บนพื้นที่รวมกว่า 120,000 ตารางเมตร และได้ลงนามในสัญญากับ ผู้เช่าเพื่อพัฒนาโครงการ Medical Center แบบ Built-to-Suit บนพื้นที่กว่า 6,900 ตารางเมตร  ล่าสุด บริษัท ดับบลิวเอชเอ เคดับบลิว อัลไลแอนซ์ จำกัด (WHAKW) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ และบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด (TTA) ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อลงทุนพัฒนาพื้นที่อาคารสำนักงานในประเทศไทย ภายใต้โครงการแรก “โครงการ WHAKW S25” บนถนนสุขุมวิท คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/2566

นอกจากนี้ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ไดวะ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และบริษัท ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาร้านค้าปลีกยูนิโคล่ โรดไซด์ ลาดกระบัง ซึ่งถือเป็นอาคารเพื่อการค้าปลีกแบบ Built-to-Suit บนพื้นที่ขนาด 1,019 ตารางเมตร ที่ถูกออกแบบให้ตอบสนองการใช้งานพื้นที่อย่างลงตัว ส่วนแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART ในปี 2566 นั้น บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจำหน่ายทรัพย์สิน คิดเป็นพื้นที่เช่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 142,000 ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 3,566.5 ล้านบาท

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ไตรมาส 1/2566 มียอดขายที่ดินรวม 487 ไร่ (ไทย 379 ไร่ / เวียดนาม 108 ไร่) และมียอดการเซ็น MOU รวม 753 ไร่ (ไทย 445 ไร่/เวียดนาม 308 ไร่) ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 1,052.5 ล้านบาท เติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้จากการโอนที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากกระแสการย้ายฐานการทุนที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทย ที่เป็นฐานการผลิตและการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคที่พร้อมรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ส่งผลให้ไตรมาส 1/2566 มียอดขายที่ดินรอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ในมือแล้วกว่า 675 ไร่

ปัจจุบัน WHA Group มีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทย จำนวน 11 แห่ง ซึ่งรวมถึงนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (1,280 ไร่) ที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 และยังมีนิคมอุตสาหกรรมใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 (1,100 ไร่) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 (2,400 ไร่) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569 นอกจากนี้ยังมีการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 เฟส 3 จำนวน 630 ไร่ และได้มีการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 เพิ่มขึ้นจำนวน 460 ไร่”

สำหรับนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม ไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 108 ไร่ และยอดการเซ็น MOU รวม 308 ไร่ สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีพื้นที่เขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1 แห่ง และจะขยายโครงการใหม่ในจังหวัดหลักๆ ของประเทศเวียดนาม อีก 2 โครงการ รวมเป็นพื้นที่ 20,950 ไร่ (3,350 เฮกตาร์)

โดยเขตอุตสาหกรรมที่ได้เปิดดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โซน1-เหงะอาน เฟส 1 ขนาด 900 ไร่ ปัจจุบันมีการขายพื้นที่เขตอุตสาหกรรมให้แก่ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปแล้วกว่าร้อยละ 77 ของพื้นที่ในเฟส 1 ส่งผลให้บริษัทฯ จึงต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างเฟส 2 บนพื้นที่ขนาด 2,215 ไร่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง และเริ่มเสนอโครงการต่อลูกค้าแล้วบางส่วน

นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างขยายโครงการเขตอุตสาหกรรมใหม่ ในจังหวัดหลักๆ ของเวียดนามอีก 2 โครงการ ซึ่งได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับทางการองค์กรท้องถิ่นของประเทศเวียดนามเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่ง  ได้แก่ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone – Thanh Hoa พื้นที่ 5,320 ไร่ โดยกำหนดเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2567 หรือต้นปี 2568 และเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone – Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ในปี 2569 หรือ 2570 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างตามแผนการลงทุนในระยะยาวของบริษัทฯ ในอนาคต

ขณะที่ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ)  ไตรมาส 1/2566 รับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภครวม 643.3 ล้านบาท  มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศรวม 35 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นสัดส่วนปริมาณยอดจำหน่ายน้ำในประเทศเท่ากับ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร และยอดจำหน่ายน้ำในต่างประเทศเท่ากับ 7 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากการปรับตัวสูงขึ้นของปริมาณยอดจำหน่ายน้ำดิบ (Raw Water) จำนวน 7 ล้านลูกบาศก์เมตร และผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) จำนวน 1 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของ Gulf TS 3 และ TS 4 ในปีที่ผ่านมา และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีการลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ปริมาณ 2.9 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี กับลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4)

นอกจากนี้ บริษัทฯเริ่มก่อสร้างระบบผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรมส่วนขยาย มีกำลังการผลิต 3.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4  และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมทั้งเริ่มก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำอุตสาหกรรม เพื่อส่งน้ำไปยังนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยองในปริมาณการผลิต 4.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งคาดว่าการก่อสร้างและเสร็จสิ้นไตรมาส 4/2566

สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ คาดว่ายอดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำเสีย มีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก จากความต้องการใช้น้ำของลูกค้าในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 1 ที่ทยอยเปิดดำเนินการ ประกอบกับแผนขยายธุรกิจสาธารณูปโภคควบคู่ไปกับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ได้แก่ เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 2 และเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ทัญฮว้า รวมถึง เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ กว๋างนาม

ด้านธุรกิจไฟฟ้า ไตรมาส 1/2566 รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานและการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไตรมาส 1/2566 เท่ากับ 293.1 ล้านบาท โดยมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของค่าไฟฟ้า (Ft) ในช่วงที่ผ่านมา และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่เริ่มปรับตัวลดลง

สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP แม้โรงไฟฟ้า GHECO-One จะมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนงานในช่วงไตรมาสแรกก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้า IPP นั้นมีการปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ธุรกิจโซลาร์ ไตรมาส 1/2566 สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เท่ากับ 110.7 ล้านบาท และได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มอีก 10 สัญญา ซึ่งเป็นโครงการ Private PPA ทั้งหมด คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 16 เมกะวัตต์ ทำให้ไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีจำนวนสัญญา Private PPA สะสม 149 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ประมาณ 94 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้น ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 699 เมกะวัตต์ และ คาดว่าไตรมาส 2/2566 จะมีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมอีกประมาณ 20 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ให้ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed in Tariff ( FiT ) เฟส 1 สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 5 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการ Solar Farm ปกติ จำนวน 4 โครงการ และโครงการ Solar Farm ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System : BESS) อีกจำนวน 1 โครงการ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเตรียมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2572-2573

ส่วนธุรกิจดิจิทัล ไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ ยังคงมุ่งทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล เพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company ตามเป้าหมายในปี 2567 โดยได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนองค์กรตั้งแต่การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้มีศักยภาพสู่ยุคดิจิทัล สู่การนำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า

ล่าสุด บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัท ได้เข้าไปลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO จำนวน 111,597,905 ล้านหุ้น หรือ 20% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน โดยการเข้าลงทุนครั้งนี้เล็งเห็น Synergy ที่เกิดจาก Ecosystem ที่ครบวงจรของบริษัทฯ และความเป็นผู้นำด้าน Outsourcing ของ SO ซึ่ง Synergy ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นรวมทั้งธุรกิจในปัจจุบันของบริษัทฯ และสำหรับการพัฒนาธุรกิจในอนาคตตามภารกิจ MTTS

โดยความร่วมมือเฟสแรกจะครอบคลุมถึง Center of Shared Services  การขยายธุรกิจ Outsource ไปยังลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ, Workforce Excellence Academy การพัฒนาบุคลากรและแรงงานให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรม New S-Curve, EV Fleet Rental and Management ซึ่งอยู่ในแผนการขยายธุรกิจ Green Logistics ของบริษัทฯ รวมถึง ESG และ Carbon Credit ที่เป็นการจัดการพื้นที่สีเขียวในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและเพิ่มคาร์บอนเครดิต

นอกจากนั้นในช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสเห็นดีล M&A ใหม่ๆ เกิดขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาศึกษาลงทุนรายละเอียดอยู่

สำหรับในภาพรวมกลุ่มธุรกิจหลักยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโลจิสติกส์ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ส่วนกลุ่มพลังงาน และธุรกิจสาธารณูปโภคเห็นถึงการฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ส่วนนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทหากเกิดขึ้นจริง เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อกลุ่มลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากส่วนใหญ่อัตราการแจ้งงานของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมนั้นสูงกว่าแรงงานขั้นต่ำอยู่แล้ว

Back to top button