3 หุ้นรับเต็ม! “นักท่องเที่ยว” แห่เข้าไทย ก.ค. เฉียด 2.5 ล้านคน

นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.66) มีจำนวนสะสม 15.39 ล้านคน ขณะที่เฉพาะเดือนก.ค. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.5 ล้านคน โบรกชี้ ERW-AOT-BAFS รับประโยชน์มาก พร้อมยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด”


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทาง เข้าประเทศไทยในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) ของปี 2566 พบว่ามีจำนวนสะสม 15,391,104 คน สำหรับชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด อันดับ 1 ยังคงเป็นมาเลเซีย ด้วยจำนวน 2,445,950 คน ส่วนอันดับ 2 คือจีน 1,852,446 คน

ขณะที่เมื่อดูเฉพาะเดือนก.ค. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2,476,413 คน โดย 5 อันดับแรกของชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด อันดับ 1 คือจีน 409,327 คน ถือเป็นเดือนแรกที่มีจานวนนักท่องเที่ยวจีนแซงหน้ามาเลเซีย ซึ่งตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวน 341,236 คน อันดับ 3 เกาหลีใต้จำนวน 150,089 คน อันดับ 4 อินเดียจำนวน 127,344 คน และอันดับ 5 เวียดนามจำนวน 121,705 คน สำหรับตลาดจีนททท.ยังคงเป้าหมายการทำงานไว้ที่ 5-8 ล้านคน

โดยผลดังกล่าวทำให้ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวที่เห็นกำรเติบโตของนักท่องเที่ยวเดือน ก.ค. 2566 ได้ดีตามคาด ซึ่งมีมุมมองเป็นบวก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวเดือน ก.ค. 2566 อยู่ที่ 2.5 ล้านคน โตได้ดีตามคาด เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย. 2566 อยู่ที่ 2.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11%  เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวหลักๆในเดือน ก.ค. 2566 ที่เพิ่มขึ้นได้ดีมาจากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 31% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนรองลงมาเป็นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 23% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนอินเดียเริ่มลดลง 19% จากเดือนก่อนหน้า รองลงมาเป็นมาเลเซียลดลง 16% จากเดือนก่อนหน้า

นอกจากนี้ คาดว่าเดือน ส.ค. 2566 จะเพิ่มขึ้นได้ราว 5-10% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ราว 2.6-2.7 ล้านคน เพราะเริ่มมีการเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น ขณะที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2566 จะอยู่ที่ 27 ล้านคน (เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ 11.2 ล้านคน) ซึ่งหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากมาก-น้อยเรียงตามสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยจากมากไปน้อยคือ ERW สัดส่วน 88%, CENTEL สัดส่วน 80%, MINT สัดส่วน 15% และ SHR สัดส่วน 5% อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัย ยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” เลือก ERW, AOT, BAFS

บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  หรือ ERW แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท เพราะเป็น Pure hotel ซึ่ง ERW จะได้รับผลประโยชน์สูงที่สุดเพราะมีสัดส่วนโรงแรมในประเทศไทยสูงที่สุดในกลุ่มที่ 88% และมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงที่สุดในกลุ่มราว 15%

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT  แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 84.00 บาท ได้ประโยชน์จากจำนวนผู้โดยสารที่ปรับตัวดีขึ้น และแนวโน้มปี 2566 จะดีขึ้นทุกไตรมาสจากการเปิดเที่ยวบินเพิ่ม

บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท เพราะได้อานิสงส์จากจำนวนเที่ยวบินและปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวยังชอบ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย40.00 บาท) มากที่สุด เพราะยุโรปเริ่มเข้าช่วง Peak season โดยชอบ MINT มากกว่าโรงแรมในประเทศจากกำไรไตรมาส 2/02566 จะโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ด้าน valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขายปี 2566 EV/EBITDA ที่ 12 เท่า (-1.50SD below 10-yraverage EV/EBITDA) เทียบกับ ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA และ +0.5SD จึงมองราคาหุ้นที่ลงมาเป็นจังหวะเข้าซื้อ

Back to top button