GULF ท็อปพิก! โตเด่น จ่อเซ็นซื้อขายไฟ “โซลาร์ฟาร์ม” 550 เมกฯ ปลายปี

หุ้นโรงไฟฟ้าตัวท็อป! GULF เติบโตเด่น เตรียมลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ราว 550 เมกะวัตต์ในระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม อาจประเมินอัพไซด์ 40 สตางค์ต่อหุ้น ขณะที่ EGCO-RATCH อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 5-6%


ผู้สื่อข่าวรายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ (20 ต.ค.66) สำหรับประเด็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO, บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM

ทั้งนี้ ประเมินว่าการประมูลรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศยังคงก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังงานลมได้ถูกระงับเป็นการชั่วคราวนั้น ทางฝ่ายนักวิจัยยังมองเห็นพัฒนาเชิงบวกที่มีต่อการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จากแหล่งเชื้อเพลิงอื่นๆ เช่น พลังงานจากขยะอุตสาหกรรม พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) และระบบกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยแบตเตอรี่ (BESS)

เนื่องด้วยศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งระงับแผนการซื้อไฟฟ้าของภาครัฐตามมาตรการ ส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Feed-in Tariff หรือ FiT) จากโครงการพลังงานหมุนเวียน กลุ่มพลังงานลมขนาด 1.5 กิกะวัตต์ (GW) จากการที่ถูกกล่าวหาถึงความไม่โปร่งใสในขั้นตอนของการพิจารณาคัดเลือก ซึ่งเชื่อว่าคำสั่งระงับดังกล่าวนั้นอาจยืดเยื้อเวลายาวนานถึง 2 ปี แม้ว่ากำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ที่ระบุในสัญญาซื้อขาย (SCOD) อาจล่าช้าลงสำหรับโครงการที่มีกำหนด SCOD ในปี 2568-2569 แต่อาจไม่ส่งผลกระทบต่อ GUNKUL ที่ชนะประมูล 2 โครงการ 180 เมกะวัตต์ ซึ่งมีเป้าหมาย COD ในปี 2572-2573

โดยฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่าจะมีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2566 ซึ่งจะได้เห็นผู้เข้าประมูลหลายรายที่มีการประกาศลงนามซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการที่จะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบพาณิชย์ (COD) ในปี 2567 – 2568 อย่างเช่น GULF และ ACE อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะลงนามในโครงการอื่นๆ ที่จะเริ่มในปี 2569 – 2572 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม 2566

รวมถึงคาดการณ์ราคาเป้าหมายและอัตรากำไรจะอัพเกรดตามภายหลังการลงนาม PPA เชื่อว่า Bloomberg consensus อาจยังไม่ได้รวมความต้องการพลังงานหมุนเวียนไว้ในการประเมินมูลค่า (valuation) อย่างครบถ้วน ซึ่งประมาณการบนพื้นฐานของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โดย GULF อาจจะมีอัพไซด์อยู่ที่ 85 สตางค์ต่อหุ้น ขณะที่ GUNKUL อาจจะมีอัพไซด์อยู่ที่ 90 สตางค์ต่อหุ้น ส่วน SSP อาจจะมีอัพไซด์อยู่ที่ 1.10 บาทต่อหุ้น และ ACE อาจจะมีอัพไซด์อยู่ที่ 10 สตางค์ต่อหุ้น

ขณะที่มีสมมติฐานคืออัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ (D/E ratio) อยู่ที่ 70/30 เท่า และต้นทุนโครงการต้นทุนสร้างโซลาร์ 1 ล้านดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ ถ้าเป็นโซลาร์รวมด้วยระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) จะใช้ต้นทุน 2 ล้านดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์

อย่างไรก็ตามในส่วนของ GULF คาดการณ์ว่าจะมีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ราว 550 เมกะวัตต์ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนธันวาคม ซึ่งอาจประเมินอัพไซด์ที่ 40 สตางค์ต่อหุ้น ในส่วนของ BGRIM นั้นได้รวมไว้ในราคาเป้าหมายแล้ว

ดังนั้นทางฝ่ายนักวิจัยเลือกหุ้น GULF เป็น top pick สำหรับหุ้นเติบโตด้วยค่าอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น หรือ P/E อ้างอิงจาก Bloomberg consensus ที่อาจลดลงจากเดิม 33.6 เท่าในปี 2566 ไปอยู่ที่ 22.6 เท่าในปี 2568 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย ของกำไรจากธุรกิจหลักในระดับ 21.8% ในปี 2566-2568

ในส่วนของหุ้น EGCO และ RATCH ยังคงมีการประเมินมูลค่า (valuation) ถูกในปี 2566 ของอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 0.5-0.6 เท่า พร้อมด้วยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 5-6% และไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญจากการปรับลดค่าเอฟที

Back to top button