คัด 55 บจ. โชว์งบ Q3 กำไรโตเกิน 100%

เปิดโผ 55 หุ้น SET โชว์งบไตรมาส 3/66 กำไรโตทะลักเกิน 100% ชู TOP แชมป์หุ้นกำไรเพิ่มขึ้นสูงสุด 923 เท่าตัว พร้อมลุ้นผลงานไตรมาส 4/66 และทั้งปีโตเข้าเป้า


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มานำเสนอ โดยคัดเลือกบริษัทที่มีกำไรเพิ่มขึ้นสูงสุด โดยครั้งนี้จะขอนำเสนอเพียง 55 อันดับแรกของกลุ่มซึ่งมีกำไรเติบโตเกิน 100%

สำหรับหุ้นที่ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวจำนวน 55 ตัว ประกอบด้วย TOP, PRG, XPG, PIN, BUI, WHAUP, RS, SFLEX, SUC, NNCL, NEX, UMI, OR, TNL, EASON, CMC, J, JDF, ROJNA, GPSC, MAJOR, BCP, RSP, NOBLE, UNIQ, B, PATO, PTT, SYNTEC, RICHY, BAREIT, CPW, STECH, ASEFA, GULF, DTCENT, KYE, HUMAN, TTCL, OSP, SUN,SCP,Q-CON,VGI,WHA, CHASE,CCP,NKI,WORLD,STGT,NCAP,LST,CHAYO,PJW และ ASIMAR ดังตารางประกอบและจะขอนำเสนอข้อมูลประกอบผลกำไรที่ปรับตัวขึ้นใน อันดับแรกของกลุ่ม SETดังนี้

โดยหุ้นที่มีกำไรเพิ่มขึ้นสูงสุดกลุ่ม SET คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 10,827.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92,380.42% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 11.71 ล้านบาท ผลประกอบการไตรมาส 3/2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 10,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,816 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 9,711 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่งวด 9 เดือนของปีนี้มีกำไรสุทธิ 16,499 ล้านบาท ลดลง 16,022 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ กำไรไตรมาส 3/2566 ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปที่ตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในสหรัฐฯ และยุโรป ตลอดจนการประกาศห้ามส่งออกน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินชั่วคราวของประเทศรัสเซีย ส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน และส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลเมื่อเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้น

เช่นเดียวกับธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (LAB) ที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ได้รับแรงกดดันจากราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ส่วนธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานได้รับผลกระทบจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ชะลอตัวลง และความต้องการใช้น้ำมันหล่อลื่นในภูมิภาคที่ลดลงในช่วงฤดูฝน

โดยราคาน้ำมันดิบไตรมาส 3/2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น หลังประเทศซาอุดีอาระเบียปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม และประเทศรัสเซียปรับลดการส่งออก ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 9,638 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 23.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

สำหรับภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในช่วง 3 เดือนหลังของปีนี้ คาดว่ายังอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากมีความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อนในช่วงฤดูหนาว และภาคการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบที่คาดการณ์ว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากประเทศซาอุดีอาระเบียและประเทศรัสเซียประกาศปรับลดกำลังการผลิตจนถึงสิ้นปี

สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์คาดการณ์ว่าจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม (PET) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยวและเทศกาลปีใหม่ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากอุปทานลดลงจากการปิดตัวลงอย่างถาวรของโรงผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกรุ๊ป 1 ในญี่ปุ่น ทั้งนี้ไทยออยล์จะยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ตลาดที่ผันผวน เพื่อผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง

บริษัท พี อาร์ จี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRG กำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 226.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น     8,774.09% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 2.55 ล้านบาท โดยส่วนรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจากรายได้ธุรกิจศูนย์อาหารเพิ่มขึ้น 9 ล้านบาท และธุรกิจข้าวเพิ่มขึ้น 122 ล้านบาท จากช่องทางการขายค้าปลีกแบบดั้งเดิม, ช่องทางการขาย EM, ช่องทางการขายค้าปลีกสมัยใหม่ และช่องทางการขายผู้ประกอบการ

สำหรับ PRG เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวสารในประเทศ และเพื่อการส่งออกผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้แก่ ข้าวสารบรรจุถุงพลาสติก ขนาด 2 กิโลกรัม และ 5 กิโลกรัม ข้าวสารบรรจุกระสอบพลาสติก ขนาด 15, 48, 49 และ 50 กิโลกรัม ภายใต้เครื่องหมายการค้าข้าวมาบุญครอง,มาบุญครองพลัส, และข้าวจัสมินโกลด์ และเป็นผู้ประกอบกิจการศูนย์อาหาร และร้านอาหาร

บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG กำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 38.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น     2,558.47% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1.43 ล้านบาท โดยรับรู้รายได้ 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้งนี้การรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวถึงเป็นการเติบโตต่อเนื่องมาจากครึ่งปีแรกที่ทำกำไรได้ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ส่งผลให้รวม 9 เดือนของปี 2566 XPG มีรายได้รวม 403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,358% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนภาพรวมของ XPG ในไตรมาส 4/2566 จะยังขับเคลื่อนไปในทิศทางทีดี โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจนายหน้าซื้อขายกองทุน เพราะเป็นโค้งสุดท้ายของผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อการลดหย่อยภาษี การที่ XSpring AM เป็นนายหน้าซื้อขายกองทุน จึงได้รับประโยชน์ในช่วงนี้อย่างเต็มที่

บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN กำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 361.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น     2,389.66% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 14.52 ล้านบาท  โดยในไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้จากการด าเนินงานรวม 767.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 415.3 จากไตรมาส 3 ปี 2565

โดยมีปัจจัยหลักจากการเติบโตของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการโอนที่ดิน อีกทั้งราคาขายที่ดินต่อไร่เพิ่มขึ้นตามการปรับขึ้นของราคาประเมินที่ดิน ในขณะที่รายได้จากการขายและบริการอื่นก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ประกอบกับการลดลงของต้นทุนทางการเงิน ตลอดจนความสามารถของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

บริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BUI กำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 36.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,899.28% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1.81 ล้านบาท  โดบบริษัท มีผลกําไรจากการรับประกันภัยจำนวน 52.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.15 ล้านบาท หรือร้อยละ 240.43 ซึ่งเกิดจากรายได้จากการรับประกันไม่เติบโตโดยเติบโตลดลงร้อยละ 16.83 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยลดลง เช่นกันโดยลดลงร้อยละ 30.83 ซึ่งอัตราการลดลงของค่าใช้จ่ายลดลงมากกว่าอัตราการลดลงของรายได้

บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP กำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 511.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,843.63% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 26.32 ล้านบาท ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 โดยบริษัทฯรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 1,191 ล้านบาท และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) 475 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% และ 426% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิ ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,844% จากปีก่อน

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 3,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% และมีกำไรปกติ จำนวน 1,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 165% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 1,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 304% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน

ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกำไรปกติ มีสาเหตุหลักจากส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากการที่ค่า Ft ได้ปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ทำให้อัตรากำไรในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า SPP ที่จำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัว ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำทั้งในประเทศ และในประเทศเวียดนาม ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS กำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 1,182.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,347.29% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 81.32 ล้านบาท ภาพรวมรายได้ในไตรมาส 3/2566 มาจากการเติบโตแบบคู่ขนานของทั้งธุรกิจคอมเมิร์ซ และธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ โดยธุรกิจคอมเมิร์ซเติบโตจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ภายใต้บริษัท RS LiveWell ซึ่งมีสินค้า House Brands ที่ประกอบด้วยแบรนด์ well u, vitanature+, DARING & CO., aviance, Beyonde, iFresh, Happie Homie และ De Beste อาทิ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ well u collagen Type II plus calcium, well u collagen Type II plus abalone และผลิตภัณฑ์ชาออร์แกนิคจาก vitanature+

รวมถึงการที่ ULife ทรานส์ฟอร์มสู่ Subscription model ได้สำเร็จ โดยจำหน่ายสินค้าเป็นรายเดือน ซึ่งลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นเมื่อมีการซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ มีฐานรายได้อย่างสม่ำเสมอและเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะที่ RS Mall เร่งขยายฐานลูกค้าที่หลากหลาย โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ Lifemate ก็มีรายได้เติบโตขึ้นจากการปรับสูตรและปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะอาหารเม็ดและอาหารเปียกสำหรับแมว

ส่วนธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากช่วงไฮซีซั่น (High Season) ของกิจกรรมและคอนเสิร์ต รวมไปถึงรับรู้กำไรพิเศษเกี่ยวเนื่องจากการร่วมธุรกิจกับ ยูนิเวอร์แซล มิวสิค กรุ๊ป เพื่อจัดตั้ง บริษัท อาร์เอส ยูเอ็มจี จำกัด (RS UMG) ในการดำเนินการบริหารลิขสิทธิ์เพลงร่วมกัน จนทำสถิติ All Time High ที่เกิดขึ้นในไตรมาสนี้ เกิดจากการปรับกลยุทธ์การทำงานในแต่ละธุรกิจให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเปิดรับพาร์ทเนอร์ ซึ่งก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าแผนธุรกิจและแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้ที่เรานำมาใช้ในทุกธุรกิจประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี

โดยบริษัทยังคงมุ่งมั่นในการใช้โมเดล Entertainmerce ที่ผสานความเชี่ยวชาญของมีเดียและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในมือที่เป็นแต้มต่อเข้ากับธุรกิจคอมเมิร์ซ และยังคงเร่งสร้าง Ecosystem ให้ อาร์เอส กรุ๊ป เป็นบริษัทที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการพัฒนาสินค้า การตลาด การขาย และช่องทางจัดจำหน่าย ไปจนถึงบริการต่างๆ ที่ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ของผู้คนและสัตว์เลี้ยง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการพัฒนาศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรให้แก่ทุกธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ด้านนายวิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน อาร์เอส กรุ๊ป เปิดเผยว่า รายได้รวมสำหรับไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 1,019 ล้านบาท เติบโต 6% และมีกำไรสุทธิ 1,182 ล้านบาท เติบโต 1,176% จากไตรมาสก่อน โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจคอมเมิร์ซ 370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน แสดงให้เห็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของสินค้าและบริการในกลุ่มคอมเมิร์ซ ประกอบกับการเริ่มรับรู้รายได้จากการควบรวมธุรกิจของข้อมูลบริษัท เพ็ท เมดดิเคิล กรุ๊ป จำกัด (Pet Medical group) ด้วย

ด้านธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ มีรายได้จากธุรกิจสื่อและเพลงรวม 650 ล้านบาท เติบโต 3% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งรายได้หลักมาจากคอนเสิร์ต รวมไปถึงรายได้จากการจัดอีเวนต์และสปอนเซอร์ชิป นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการร่วมธุรกิจกับ ยูนิเวอร์แซล มิวสิค กรุ๊ป จัดตั้ง บริษัท อาร์เอส ยูเอ็มจี จำกัด (RS UMG) ในการดำเนินการบริหารลิขสิทธิ์เพลงร่วมกัน ส่งผลให้รับรู้กำไรพิเศษจากธุรกรรมดังกล่าว 1,446 ล้านบาท โดยหลังหักค่าใช้จ่ายและภาษีที่เกี่ยวเนื่อง บริษัทฯ รับรู้กำไรพิเศษจากธุรกรรมนี้จำนวน 1,111 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ และจะรับรู้ส่วนที่เหลืออีก 190 ล้านบาท (ก่อนภาษีเงินได้) ในไตรมาส 4/2566 จึงทำให้ อาร์เอส กรุ๊ป มีกำไรสุทธิ 9 เดือนถึง 1,367 ล้านบาท

“อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาส 4/2566 ผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่องตามเป้า ทั้งธุรกิจคอมเมิร์ซและธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ด้วยสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพที่ครบวงจรสำหรับผู้บริโภคและสัตว์เลี้ยง โดยในไตรมาส 4/2566 RS LiveWell จะส่งสินค้ากลุ่ม Personal Care ภายใต้แบรนด์ vitanature+ ไปจำหน่ายยังประเทศฟิลิปปินส์ รวมไปถึงการเปิด Pet All My Love รีเทลสำหรับสัตว์เลี้ยงสาขาแรก การเปิด HATO Pet Wellness Center สาขาใหม่ที่โครงการ Ours เจริญนคร

นอกจากนี้ ยังมีคอนเทนต์และกิจกรรมบันเทิงที่จัดเต็มเพื่อสร้างความสุขส่งท้ายปี อาทิ ซีรีส์ “Bake Me Please พิชิตใจนายสายหวาน” Y Project, การเปิดค่ายเพลงใหม่, คอนเทนต์ด้านดนตรีแนวใหม่, COOL WINDY FEST 2023, คอนเสิร์ต “RS MUSIC ร่วมกับ อำพลฟูดส์ Present CONCERT SHORT CHARGE SHOCK REAL ROCK RETURN” และอีเวนต์ทั่วประเทศจาก RS Multimedia & Entertainment ที่จะมาสร้างสีสันในช่วงเทศกาล

ทั้งนี้ การรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ที่อยู่ในเทรนด์ การร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และการขยายบริการที่ครอบคลุมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนและสัตว์เลี้ยง ส่งผลให้ อาร์เอส กรุ๊ป ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิง รวมถึงผลักดันให้บริษัทฯ เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพสำหรับผู้คนและสัตว์เลี้ยง ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการดำเนินงานภายใต้แนวคิด Life Enriching ที่เรามุ่งเน้นในการยกระดับชีวิตของผู้คนและสัตว์เลี้ยงในทุกมิติอย่างแท้จริง” นายสุรชัย กล่าวทิ้งท้าย

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button