“บล.พาย” แนะเก็บ 13 หุ้นใหญ่ มอง SET สัปดาห์นี้ผันผวน

“บล.พาย” ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,360-1,400 จุด จับตาตัวเลขภาคแรงงาน-จ้างงานสหรัฐ ส่วนในประเทศรอติดตามเงินเฟ้อเดือน พ.ย. พร้อมแนะลงทุนระยะกลาง เน้นเก็บ 13 หุ้นขนาดใหญ่


นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์วานนี้ (4 พ.ย. 66) ว่า สัปดาห์นี้คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) เคลื่อนไหวในกรอบ 1,360-1,400 จุด

ด้านดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐในคืนวันศุกร์ปิดบวก 0.8% หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สนับสนุนว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจแตะระดับสูงสุดแล้ว ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดลบ 2.45% หลังจากสหรัฐฯ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจแย่กว่าตลาดคาดการณ์ไว้

ขณะที่วันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานเฟดออกมาแถลงในเชิงว่ายังเร็วเกินไปที่จะประกาศชัยชนะกับเงินเฟ้อและยังคงเน้นย้ำระดับเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่าอาจจะเร็วเกินไปที่จะมั่นใจว่าทางเฟดได้บรรลุจุดยืนเข้มงวดที่เพียงพอแล้ว หรือคาดเดาว่านโยบายจะผ่อนคลายลงเมื่อใดและพร้อมจะใช้นโยบายเข้มงวดหากมีความเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม แม้จะแสดงความเข้มงวดเล็กน้อยแต่ขณะเดียวกัน ก็ส่งสัญญาณต่อความผ่อนคลายบ้าง อาทิ การดำเนินนโยบายข้างหน้าของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) จะกระทำอย่างระมัดระวังมากขึ้น รวมถึงเงินเฟ้อแม้ปัจจุบันยังเหนือกว่าเป้าหมายของเฟด แต่กำลังเคลื่อนที่ไปในทางที่ถูกต้อง

ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ได้รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคผลิตจากสถาบัน ISM ที่ 46.7 ต่ำกว่า Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 47.9 ซึ่งภายหลังจากที่นักลงทุนทราบข้อมูลทั้งหมดพบว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Bond Yield) ปรับลงต่อเนื่องทั้งอายุ 2 และ 10 ปี พร้อมกับ CME FED Watch ให้น้ำหนักกว่า 98.8% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ยนโยบายระดับเดิมในการประชุมกลางเดือน ธ.ค. และยังปรับมุมมองลดดอกเบี้ยมาอยู่ในช่วง มี.ค. 67

โดยปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ภาคแรงงานในสหรัฐฯโดยวันอังคารจะมีการรายงานตำแหน่งเปิดรับสมัครงาน Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 9.3 ล้านตำแหน่งและในวันเดียวกันจะมีการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 52.5

สำหรับวันพุธจะมีการจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.2 แสนรายและวันศุกร์ตัวเลขสำคัญกับการจ้างงานนอกภาคเกษตรของของสหรัฐฯและอัตราการว่างงาน Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.85 แสนรายและ 3.9% เชื่อว่าตลาดอยากเห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ เพื่อให้คลายกังวลกับดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ

ส่วนในประเทศรอติดตามเงินเฟ้อประจำเดือน พ.ย. ในวันพฤหัสบดี Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน, และลดลง 0.1% จากเดือนก่อน โดยมองเป็นปัจจัยหนุนว่าดอกเบี้ยธนาคารแห่งประเทศไทยเดินทางมาถึงจุดสูงสุดแล้วจากระดับเงินเฟ้อต่ำและเป็นบวกกับกลุ่มการเงิน อย่าง บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD และ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR

สำหรับเชิงกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์ยังมองดัชนีล่าสุดเหมาะสำหรับลงทุนระยะกลางเน้นที่หุ้นขนาดใหญ่ อาทิ

1.) กลุ่มค้าปลีก  ได้แก่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC,  บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO 2.) กลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT,  บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT

รวมถึง 3.) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB  4.) กลุ่มศูนย์การค้า คือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN  5.) กลุ่มสื่อสาร คือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC  และ 6.) กลุ่มการเงิน คือ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR

โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังแนะนำ “ซื้อ” ADVANC  ราคาเป้าหมาย 266 บาท มองว่าผู้บริหารคาดการณ์ว่าดีล 3BB จะช่วยกระตุ้นการสร้างกระแสเงินสดได้ภายใน 12-18 เดือนหลังควบรวม แต่ยังไม่คิดว่าจะเป็นตัวกระตุ้นกำไรในระยะสั้นและกลาง เพราะดีลนี้มีค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสดจำนวนมาก ส่วนใหญ่คือรายการทางบัญชีด้านค่าเช่า ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าดีลจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/66 ถึงครึ่งแรกปี 67 ซึ่งทางฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและอื่น ๆ ที่ไม่ใช่รายการเงินสดจะฉุดกำไรของ ADVANC ลงในช่วงแรก แต่ท้ายที่จะดีลนี้จะเป็นแรงหนุนภายในปีที่ 3 หลังควบรวม

นอกจากนี้ ยังแนะนำ “ซื้อ” บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ราคาเป้าหมาย 56 บาท ราคาหุ้นที่ลดลงช่วงล่าสุดทำให้เกิด upside และผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจในระดับ 7.4%-8.4% สำหรับปี 66-68 และได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 66-68 ขึ้น 5%-7% เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่ดีกว่าคาดการณ์ไว้ในไตรมาส 3/66 และธุรกิจสินเชื่อและประกันที่โตต่อเนื่อง ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่า TCAP จะมีกำไรสุทธิโตแข็งแกร่ง 30.6% ในปี 66

Back to top button