คัด 19 หุ้น SET100 ราคาพุ่งชนะตลาดฯ รอบปี 66 แกร่งสุด BCP ทะยาน 38%

คัด 19 หุ้นกลุ่มดัชนี SET 100 ราคาปรับตัวขึ้นชนะตลาดฯในรอบปี 66 นำโดย BCP ทะยาน 38% รองลงมา WHA, AMATA, TTB, MTC, KCE, ERW, TCAP, PLANB, ADVANC, BCH, PTT, DELTA, BBL, BH, KTB, HANA, SIRI, และ TISCO น้อยสุด 1%


ภาพรวมตลาดหุ้นไทย  (SET Index) ในช่วงปี 2566 อาจไม่ใช่ปีที่ดีนัก โดยปรับตัวลงไป จุด 252.81 หรือ 15.15%  ซึ่งมีปัจจัยต่างๆที่เข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ช่วงไตรมาส2-3 ที่ออกมาต่ำกว่านักวิเคราะห์และตลาดคาด, สถานการณ์การเมืองที่กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน, นักท่องเที่ยวจีนดข้ามาไม่ได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ และสภาพคล่องถูกลดออกไปจากตลาดจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

รวมถึงประเด็นชอร์ตเซล Short Sell” หรือขายขอร์ต แน่นอนว่าปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเกิดวิกฤตศรัทธาการทำธุรกรรมชอร์ตเซลและโปรแกรม เทรดดิ้ง อย่างหนัก เนื่องจากถูกมองว่าเป็นตัวการที่สร้างความไม่เป็นธรรมต่อนักลงทุนและเป็นตัวการสำคัญที่ทุบตลาดหุ้นไทย

อีกทั้ง Naked short selling หรือ การขายชอร์ต หุ้นที่ยังไม่ได้มีการกู้ยืมมาก่อน เข้ามาถล่มตลาดหุ้นอีกทาง เนื่องจากเป็นธุรกรรมต้องห้ามสำหรับตลาดหุ้นไทยที่ผิดกฎหมาย แล้วมีการแอบทำกันอยู่ และทางการสามารถตรวจจับได้ หากมีการทำธุรกรรมดังกล่าว ประกอบกับเรื่อง “โปรแกรม เทรดดิ้ง” ที่ใช้หุ่นยนต์เอาเปรียบมนุษย์ทุกประตู เพราะคีย์คำสั่งซื้อขายได้เร็วปานจรวดแถมยังตั้งโปรแกรมล่วงหน้าได้อีก

ขณะเดียวกันเกิดแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาจำนวนมาก โดยตลอดทั้งปีขายสุทธิ 192,489.94 ล้านบาท

นอกจากนี้ อ้างอิงข้อมูลจาก Investing.com ในส่วนของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก (Major World Market Indices) นับตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 65 สะท้อนว่าหุ้นไทยเป็น 1 ใน 3 ตลาดหุ้นหลักที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในปีนี้ มาจนถึงล่าสุด วันที่ 25 ธ.ค. 66 ดัชนี SET ดิ่งลงมา 15.57% จากสิ้นปี 65 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ดัชนีปรับตัวลงหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,370 จุด ลงมาทำระดับต่ำสุดใหม่ (New Low) ในรอบ 3 ปี เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 66 ที่ผ่านมา

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้สำรวจภาพรวมของดัชนี SET Index ในช่วงปี 2566 ปรับตัวลดลง 252.81 จุด หรือ 15.15% โดยคำนวณจาก ณ สิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค. 65 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,668.66 จุด เทียบกับ ณ วันที่ 28 ธ.ค. 66 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,415.85 จุด

ส่วนกลุ่มดัชนี SET100 โดยภาพรวมปี 2566 ปรับตัวลง 318.17 จุด หรือ 14.13% ซึ่งคำนวณจาก ณ สิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค. 65 ดัชนีปิดที่ระดับ 2,257.94 จุด เทียบกับ ณ วันที่ 28 ธ.ค. 66 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,938.83 จุด

ขณะเดียวกันหากแยกเป็นรายตัวสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่ม SET100 พบว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งชนะดัชนีมีจำนวน 19 บริษัท ได้แก่ BCP, WHA, AMATA, TTB, MTC, KCE, ERW, TCAP, PLANB, ADVANC, BCH, PTT, DELTA, BBL, BH, KTB, HANA, SIRI, TISCO

รายละเอียดตามตารางประกอบ ดังนี้

ทั้งนี้ ข่าวหุ้นออนไลน์ขอยกตัวอย่างบทวิเคราะห์ โดยคัดเลือกหุ้นที่มีสัดส่วนราคาพุ่งแรง 5 อันดับแรก คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง ซึ่งผลดังกล่าวอาจส่งผลให้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นเพื่อไปทดสอบราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 50 บาท หลังจากบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มรายได้ให้มากกว่า 5 แสนล้านบาทในปี 2567 เทียบกับ 2.43 แสนล้านบาทใน 9 เดือนแรกของปี 2566 โดยมีปัจจัยผลักดันหลักๆจาก 1) อัตราการใช้กาลังการกลั่น (crude run) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 266 kbd และ 2) ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติมีปริมาณการผลิตสูงขึ้นเป็น 40 kboed ในปี 2567 นอกจากนี้ กำลังการผลิตรวม (operating capacity) ที่สูงขึ้นของ BCPG น่าจะช่วยหนุนให้ equity income สูงขึ้นได้

รวมถึงบริษัทอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิต SAF โดยตั้งเป้าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในไตรมาส 1/2568 ด้วยงบลงทุนรวม 8,000-10,000 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ว่า ยังคงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมายที่ 5.80 บาท โดยผลการดําเนินงานไตรมาส 4/2566 โดดเด่นจากการรับรู้รายได้จากการขายที่ดิน โดยเฉพาะในส่วนของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ EV (โดย WHA วางเป้ายอดขายที่ดินปี 2566 อยู่ที่ 2,750 ไร่) และการรับรู้รายได้จากการขายทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART ที่ราว 3,567 ล้านบาท ส่วนการดําเนินงานในช่วงถัดๆ ไปยังคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานผลิตจาก จีน และญี่ปุ่น เข้ามาในไทยและเวียดนามมากขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 30 บาท  โดยคาดการณ์กำไรปกติทั้งปี 66 ที่ 1.97 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 118% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 ที่ 2.78 พันล้านบาท จากยอดขาย presale ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่ปี 2567 ที่ 1.6 พันไร่ต่อปี และยอด transfer เพิ่มเป็น 836 ไร่และ 1.1 พันไร่ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่ปี 2562 หนุนโดยการย้ายฐานผลิตของจีน (China relocation) ที่เข้ามาลงทุนในไทยและเวียดนามมากขึ้น ทั้งอุตสาหกรรม electronic, EV, auto parts, consumer, data center และอื่นๆ

บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประมาณการณ์กำไรของ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB  ปี 2566 อยู่ที่ 17,574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ได้ปัจจัยหนุนจากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในปี 2566 กว้างขึ้นจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อยมีผลตอบแทนสูง ขณะทีต้นทุนด้านเงินฝากสามารถคุมได้ดีแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” โดยมีมูลค่าพื้นฐานที่ 1.90 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้นของบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 50 บาท โดยแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งและเป็นในเชิงรุกแม้จะมุ่งเป้าไปในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ (มีหลักประกัน) เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพลูกหนี้ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยการตั้งสารองที่ลดลง ส่วนด้าน NIM มองว่าแรงกดดันด้านต้นทุนทางการเงินลดลง จากการสิ้นสุดวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้กำไรสุทธิกลับมาเติบโตเด่น

Back to top button