พรีวิวงบ “5 หุ้นรับเหมา” ลุ้น CK โกยกำไร Q4/66 ทะลุ 9 พันล้าน แบ็กล็อกแน่น!

พรีวิวงบ “5 หุ้นรับเหมา” ไตรมาส 4/66 จับตา CK โกยกำไรทะลุ 9 พันล้านบาท หลังตุนแบ็กล็อกแน่น! คาดครึ่งหลังปี 67 จ่อรับประมูลงานใหญ่ เมื่อสภาฯ อนุมัติงบประมาณหนุนแบ็กล็อกเพิ่มขึ้น


บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2566 และทิศทางธุรกิจในปี 2567 ของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างภายใต้การวิเคราะห์ จำนวน 5 บริษัท คือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON, บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO, บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC และบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG

โดยวิเคราะห์ว่า 5 บริษัท จะรายงานกำไรปกติรวมไตรมาส 4/2566 ไม่รวมเงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ 138 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 7.9 ล้านบาท

โดย CK คาดการณ์ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9,134.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,008.01 ล้านบาท

PYLON คาดการณ์ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 250.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 158.60 ล้านบาท

SEAFCO คาดการณ์ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 474.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 228.10 ล้านบาท

STEC คาดการณ์ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,874.60 ล้านบาท ลดลง 19.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 8,509.10 ล้านบาท

TEAMG คาดการณ์ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 451 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 443.50 ล้านบาท

ขณะที่ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 105.8 ล้านบาท ซึ่งดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 30.6% จากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากผลขาดทุนที่ลดลงของ CK จากงานในมือ (Backlog) ที่สูงขึ้น ในส่วนของกำไรปกติคาดการณ์บริษัทที่ทำผลงานได้ดีที่สุดคือ CK เนื่องจากมีการสร้างแบ็กล็อกที่โดดเด่นในบรรดาบริษัทคู่แข่ง ขณะที่คาดการณ์บริษัทที่เติบโตน้อยที่สุดคือ STEC จากส่วนแบ่งผลขาดทุนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

ส่วนของ Backlog หลังจากหักการรับรู้รายได้ไตรมาส 4/2566 แล้ว ทางฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามูลค่างานในมือ (Backlog) ของกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อนสร้างในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 1.97 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 8% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากขาดการเปิดตัวโครงการก่อสร้างใหม่จากความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ คาดการณ์ว่าการเปิดตัวโครงการก่อสร้างใหม่จะกลับมาอีกครั้งในครึ่งหลังของปี 2567 เมื่อสภาฯ ผ่านงบการคลังในเดือน พ.ค.2567 ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างสามารถก่องานในมือ (Backlog) ใหม่ขึ้นมาได้

ทั้งนี้เชิงลบของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คณะกรรมการไตรภาคีจะพิจารณาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกรอบในเดือนเมษายน 2567 โดยอัตราค่าแรงขั้นต่ำใหม่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 400 บาทในบางจังหวัด ซึ่งน่าจะเป็นข่าวเชิงลบสำหรับกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร่าง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่าผลกระทบจะมีอยู่อย่างจำกัด เนื่องจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างส่วนใหญ่จ่ายค่าแรงให้กับลูกจ้างเกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว

ขณะที่ปัจจัยเชิงบวก ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเห็นแนวโน้มที่สดใสขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567 เกี่ยวกับการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ใหม่ เมื่อสภาฯ ผ่านงบการคลังในเดือนพฤษภาคม 2567 พร้อมยังจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนของภาคเอกชนอีกด้วย

สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างปรับตัวลง CK ลดลง 3.6%, STEC ลดลง 35.3%, PYLON ลดลง 40.7%, SEAFCO ลดลง 33% และ TEAMG ลดลง 40% ซึ่งลดลงมากกว่า SET Index (-16.6%) ยกเว้น CK ที่ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งจากระดับงานในมือ (Backlog) ที่สูง

นอกจากนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ คงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มบริการก่อสร้าง ในขณะที่มีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นจากแนวโน้มการปรับขึ้นค่าแรงในเดือนเมษายน ยังเชื่อว่าการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และผลตอบแทนจากการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของกลุ่มธุรกิจต่างๆ อาจมองเห็นพัฒนาการในครึ่งหลังของปี 2567

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายนักวิเคราะห์ชอบบริษัทรับเหมางานโยธามากกว่าบริษัทรับตอกเสาเข็ม เนื่องจากงานในมือ (Backlog) สามารถรักษาการเติบโตของกำไรและจำกัด downside risk ในกรณีที่การประมูลโครงการโครงสร้างสร้างพื้นฐานล่าช้าออกไปอีก

สำหรับหุ้นเด่น CK ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 28.37 บาท ยังคงเป็นหุ้นเด่น เมื่อพิจารณาจากงานในมือ (Backlog) ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะรับประกันโมเมนตัมการเติบโตของกำไรเชิงบวกเท่านั้น แต่ยังช่วยกระจายกำไรและป้องกัน downside risk ท่ามกลางความไม่แน่นอนของกรอบเวลาการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ใหม่ ขณะที่ STEC ยังคงแนะนำ “ซื้อ ” ราคาเป้าหมายที่ 12.85 บาท เป็นผู้เล่น laggard play หลัก

Back to top button