BKGI ชูจุดแข็งธุรกิจเทคโนโลยี “ไบโอเทค” รายแรกไทย เตรียมเทรด SET มี.ค.นี้!

BKGI ชูจุดแข็งธุรกิจเทคโนโลยี “ไบโอเทค” รายแรกไทย เสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนในครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น เตรียมเทรด SET มี.ค.นี้!


ดร.เสาวลักษณ์ ด่านสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BKGI ผู้นำเทคโนโลยีไบโอเทครายแรกของไทยที่ให้บริการถอดรหัสพันธุกรรมครอบคลุมทุกช่วงอายุ ราคาเข้าถึงได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเปิดเผยว่า โดยภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนในครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น โดยมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 600 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นหุ้นหลังจากการทำ IPO ขณะที่หุ้นก่อนหน้า IPO มีทุนชำระแล้ว 220 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 440 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.67% และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนมีนาคม 2567

ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม BGI ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก BGI มีความตั้งใจให้บริษัทฯ เป็น Flagship ของ BGI Genomics ในประเทศไทย จากการที่ได้เห็นศักยภาพในการเติบโตของบริษัทฯ รวมทั้งมีแผนที่จะร่วมกับบริษัทฯ และมหาวิทยาลัย และโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ในประเทศไทย ในการจัดตั้งศูนย์ธารัสซีเมียในอนาคตอันใกล้ โดยกลุ่ม BGI ไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯ แต่อย่างใด รวมทั้งยังมีความตั้งใจจะสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ อย่างเต็มที่

ดร.เสาวลักษณ์ กล่าวอีกว่า บริษัทในกลุ่ม BGI Shenzhen Co., Ltd. (BGI) ซึ่งตั้งอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยกลุ่มบริษัท BGI เป็นกลุ่มบริษัทที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เพื่อนำความรู้และเทคโนโลยีการอ่านลำดับพันธุกรรมโดยเทคโนโลยี Next -Generation Sequencing (NGS) และชีวสารสนเทศศาสตร์ที่นำสมัยมาพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้ดีขึ้น ซึ่งกลุ่มบริษัท BGI ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและวิเคราะห์พันธุกรรมหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร (Agriculture) ด้านนิติเวชศาสตร์ (Forensics) การวิจัยพัฒนาด้านพันธุกรรม (Research & Institute) การฝึกอบรมบุคลากรทางอุตสาหกรรมชีวภาพ (Education) เป็นต้น

โดยลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1) ธุรกิจการให้บริการตรวจคัดกรองและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้

1.1 การตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ (Reproductive Health Testing Services) เช่น การตรวจวิเคราะห์ความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์จากเลือดมารดา (NIPT) และการตรวจคัดกรองพาหะของโรคทางพันธุกรรม

1.2 การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ (Infectious Related Testing Services) เช่น การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อก่อโรคโควิด-19 และการตรวจภูมิคุ้มกัน

1.3 การตรวจคัดกรองอื่นๆ (Other Testing Services) ได้แก่ การตรวจคัดกรองยีนก่อโรคมะเร็ง และการตรวจคัดกรองโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมอื่นๆ

1.4 การให้บริการงานด้านเทคโนโลยี (Tech Solution Services)

2) ธุรกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง (Medical Related Products) อาทิ ชุดอุปกรณ์สำหรับการเก็บสิ่งส่งตรวจ น้ำยาตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโควิด-19 และน้ำยาตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19

ในส่วนของผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี โดย ในปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 134.15 ล้านบาท ถัดมาในปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 380.05 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2565 มีรายได้รวมอยู่ที่ 320.07 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้รวมอยู่ที่ 191.73 ล้านบาท

ขณะที่กำไรสุทธิย้อนหลัง 5 ปี โดยในปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 13.80 ล้านบาท ถัดมาในปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 105.66 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2565 กำไรสุทธิอยู่ที่ 75.11 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปี 2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25.51 ล้านบาท

“บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทในแต่ละปี ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามบริษัทอาจจ่ายเงินปันผลแตกต่างไปจากนโยบายที่กำหนดไว้ได้ โดยจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ฐานะทางการเงิน สภาพคล่องทางการเงิน และความจำเป็นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการบริหารจัดการและแผนการขยายธุรกิจในอนาคต” ดร.เสาวลักษณ์ กล่าว

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า BKGI จะเป็นหุ้นธุรกิจเทคโนโลยีไบโอเทครายแรกของไทยที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (SET) และเป็นบริษัทฯ ที่มีความน่าสนใจ โดยบริษัทฯ นำเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากกลุ่ม BGI  ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการถอดรหัสพันธุกรรมของโลก มาใช้ในการให้บริการ  ทำให้ผลการวิเคราะห์ต่างๆ ของบริษัทฯ มีความแม่นยำสูง

นอกจากนี้ ธุรกิจของบริษัทฯ อยู่ในอุตสาหกรรมสุขภาพ ซึ่งอยู่ในเมกะเทรนด์ ถือเป็นธุรกิจแห่งอนาคต ที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด เพราะสังคมไทยอยู่ในยุคสังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ และที่สำคัญจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้คนทั่วโลก หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะทำให้ชื่อเสียงขององค์กร และแบรนด์ของ BKGI เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งยังช่วยเสริมฐานทุนให้มีความแข็งแกร่ง รองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต

Back to top button