AAI บวกต่อ 5% โบรกอัพเป้าใหม่ 8 บาท ลุ้นกำไรปี 67 โตเท่าตัว

AAI บวกต่อ 5% อานิสงส์งบไตรมาส 1/67 กำไร 242 ล้านบาท ดีกว่าคาด! รับส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโต อัตรามาร์จิ้นดีขึ้นจากต้นทุนปลาทูน่าลดลง ด้านโบรกฯปรับประมาณการเพิ่มขึ้นคาดกำไรปี 67 เติบโตเฉลี่ย 122% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน พร้อมอัพเป้าราคาเหมาะสมใหม่ 8 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 พ.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ณ เวลา 10:49 น. อยู่ที่ระดับ 5.55 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 4.72% สูงสุดที่ระดับ 5.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 61.44 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” AAI จาก 1) กำไรสุทธิไตรมาส 1/67 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์และตลาดคาด จากรายได้และอัตรามาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น 2) แนวโน้มผลประกอบการกลับมาเติบโตตามภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นและปัญหาการเคลียร์สต๊อกสินค้าเริ่มในอเมริกาและยุโรปที่คลี่คลายลง

โดยปรับประมาณการเพิ่มขึ้นคาดกำไรปี 67 เติบโตเฉลี่ย 122% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และปีถัดไปเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 19% (CAGR2y) มูลค่าเหมาะสมใหม่อยู่ที่ 8.00 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันมี PER forward ค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 12.5 เท่า เทียบกับธุรกิจเดียวกันเช่น ITC ที่เฉลี่ย 21.2 เท่า และเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกันที่เฉลี่ย14.9 เท่า และคาดอัตราการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจอยู่ที่ 4%, มี ROE ที่สูงอยู่ที่ 16.6% มากกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม10.3%

สำหรับ AAI ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 242 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 235% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน, และเพิ่มขึ้น 46% จากไตรมาสก่อน) โดยหากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรหลักจะอยู่ที่ 221 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 388% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน, และเพิ่มขึ้น 41% จากไตรมาสก่อน) มากกว่าที่นักวิเคราะห์และตลาดคาดไว้ 60% โดยรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และ 9% จากไตรมาสก่อน จากการเคลียร์สต๊อกสินค้าหมดลงและเริ่มกลับมาสั่งออเดอร์เพิ่มขึ้นตลอดจนมีความต้องการออกสินค้าตัวใหม่ ตอบสนองความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นในกลุ่มลูกค้าสหรัฐฯ และยุโรป สอดคล้องกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ ปริมาณขายสินค้าในกลุ่มอาหารพร้อมทานลดลง เนื่องจากในไตรมาส 1/66 บริษัทมีนโยบายรับคาสั่งซื้อในกลุ่มอาหารพร้อมทานมากว่าปกติเพื่อมาชดเชยยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงที่ลดลงอย่างกะทันหัน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการแรงงานส่วนเกินที่เหลือจากการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงได้ดีขึ้น ในขณะที่ไตรมาส 1/67 ออเดอร์ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเริ่มกลับมา และปัจจัยบวกจากการที่ราคาปลาทูน่าปรับตัวลดลงทาให้อัตรามาร์จิ้นดีขึ้น สำหรับ SG&A ลดลงจากค่าโฆษณาลดลงจากการปรับนโยบายในการทาการตลาดสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของบริษัท

ภาพรวมอุตสาหกรรมการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไตรมาส 1/67 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 33% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยเฉพาะสหรัฐที่มีสัดส่วนการส่งออกมากที่สุดราว 30% ของมูลค่าการส่งออกรวม มีอัตราการเติบโตมากสุด 52% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน (AAI มีสัดส่วนรายได้ส่งออกไปสหรัฐฯ ณ ไตรมาส 1/67 มากที่สุดที่ 61% ของรายได้รวม) สำหรับ AAI ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ 6,500 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน) มาจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยกลุ่มทวีปอเมริกาที่เพิ่มขึ้นเป็นหลักและธุรกิจ Human food คาดทรงตัว จากปริมาณการขายลดลงจะเป็นตลาด Middle East และอิสราเอล ได้รับผลกระทบจากค่าเดินเรือที่แพงขึ้น

สำหรับลูกค้ารายใหญ่กลุ่ม private label 2 ราย มีการชะลอเลื่อนออกไป 1 ราย คาดจะเห็น order ได้ในไตรมาส 3 และอีก 1รายอยู่ในระหว่างการพัฒนาสินค้าร่วมกัน บริษัทมีการขยายกาลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น 14% เรียบร้อยแล้วจากปี 66 ที่ 49,000 ตัน เป็น 56,000 ตัน บริษัทวางงบลงทุน 430 ล้านบาทแบ่งเป็น 2 ปี สร้างคลังสินค้าเพิ่มไลน์ใหม่และประสิทธิภาพการผลิต เริ่มก่อสร้างครึ่งหลังปี 67 ถึงครึ่งแรกปี 68

นอกจากนี้ ปรับประมาณการปี 67-68 เพิ่มขึ้นจากคาดเดิม 60% และ 59% ตามลำดับ คาดกำไรสุทธิปี 67-68 เพิ่มขึ้น 122% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากคาดรายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตรามาร์จิ้นที่มีแนวโน้มดีขึ้นกลับมาใกล้เคียงกับปี 64-65 จากราคาปลาทูน่าที่ลดลงและปริมาณการขายกลับมาเพิ่มขึ้นปกติ คาดรายได้ปี 67-68 เพิ่มขึ้น 19% และ 13% ตามลำดับ จากการเคลียร์สต๊อกสินค้าเก่าที่หมดลงและมีออเดอร์ใหม่กลับมาเป็นปกติเพิ่มขึ้นได้ แบ่งเป็นกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงสัดส่วน 82% และ84% ของรายได้รวม และรายได้อาหารพร้อมทานปลาทูน่ากระป๋องสัดส่วน 17% และ 15% ของรายได้รวม ตามลาดับ คาดอัตรามาร์จิ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 19.9%-20.5% ตามสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่เริ่มลดลงตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 66 คาดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงจากนโยบายการบริหารลดค่าใช้จ่ายโฆษณาและอัตราการเติบโตของรายได้มากกว่าการเติบโตของค่าใช้จ่าย

Back to top button